E-commerce SEO: การทำ SEO สำหรับธุรกิจ Ecommerce

Blog, Marketing, SEO

การทำ SEO สำหรับ Ecommerce คืออะไร

การทำ SEO สำหรับ Ecommerce (Search Engine Optimization) คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ให้สอดคล้องกับเกณฑ์ของเครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงในผลการค้นหา เมื่อผู้ใช้งานค้นหาสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการ

การทำ SEO สำหรับ Ecommerce รวมถึงการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด การปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ การสร้างเนื้อหาคุณภาพ และการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์อื่นๆ นอกจากนี้ยังควรให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้บนเว็บไซต์ เพื่อให้การใช้งานเว็บไซต์ของคุณราบรื่นและน่าสนใจมากยิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติมว่า SEO คือ อะไร? และ ปัจจัย ทำ SEO

ความสำคัญของ SEO ในธุรกิจ Ecommerce

การทำ SEO เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจ Ecommerce เนื่องจาก:

  • เพิ่มความเห็นชอบของเครื่องมือค้นหา: เว็บไซต์ที่ปรับแต่ง SEO ดีจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า การติดอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google หมายถึงโอกาสที่ผู้ใช้งานจะเห็นและคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณเพิ่มขึ้น นอกจากนี้การมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับคำค้นหาของผู้ใช้งานยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณอีกด้วย
  • เพิ่มจำนวนผู้เข้าชม: เว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงมีโอกาสได้รับการคลิกเยอะขึ้น การเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างยอดขาย ยิ่งมีผู้เข้าชมเว็บไซต์มากเท่าใด โอกาสในการขายสินค้าหรือบริการก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
  • เพิ่มยอดขาย: ผู้เข้าชมที่มาจากการค้นหามีแนวโน้มที่จะกลายเป็นลูกค้าสูงกว่า ผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหามักมีความสนใจในสินค้าหรือบริการของคุณอยู่แล้ว การทำ SEO ที่ดีช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้มีโอกาสที่จะเปลี่ยนผู้เข้าชมเป็นลูกค้ามากขึ้น

การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด

การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนสำคัญในการทำ SEO ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของคุณ โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและการแข่งขันต่ำ

การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมช่วยให้เนื้อหาของคุณตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน นอกจากนี้การใช้คีย์เวิร์ดในส่วนต่างๆ ของเว็บไซต์ เช่น หัวข้อ, เนื้อหา, URL, Meta Tag และ Alt Text ยังช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น

นอกจากการเลือกคีย์เวิร์ดหลักแล้ว ควรให้ความสำคัญกับคีย์เวิร์ดรองหรือ Long-Tail Keywords ซึ่งเป็นคำค้นหาที่ยาวและมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น แม้จะมีปริมาณการค้นหาน้อยกว่า แต่ Long-Tail Keywords มักมีการแข่งขันต่ำและมีโอกาสที่ผู้ใช้งานจะคลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณสูงกว่า

การปรับแต่ง On-Page SEO

การปรับแต่ง On-Page SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา เช่น:

  • การใช้คีย์เวิร์ดใน Title Tag และ Meta Description: เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บ Title Tag ควรมีคีย์เวิร์ดหลักและสื่อความหมายได้ชัดเจน ส่วน Meta Description ควรอธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บในลักษณะที่น่าสนใจและกระตุ้นให้ผู้ใช้งานคลิกเข้ามาอ่าน
  • การปรับแต่ง URL ให้สั้นและสื่อความหมาย: ใช้คำที่สื่อถึงเนื้อหาของหน้าเว็บ URL ที่สั้นและเข้าใจง่ายช่วยให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาจดจำได้ง่ายขึ้น
  • การใช้ Headings (H1, H2, H3): เพื่อจัดระเบียบเนื้อหาและให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของหน้าเว็บ การใช้ Headings อย่างเหมาะสมช่วยให้เนื้อหามีความชัดเจนและอ่านง่ายยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การปรับแต่ง On-Page SEO ยังรวมถึงการปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์, การใช้ภาพที่มีคุณภาพและ Alt Text ที่สื่อความหมาย, การสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links) และการใช้ Schema Markup เพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในหลักการ Technical SEO

การสร้างเนื้อหาคุณภาพ

เนื้อหาคุณภาพเป็นสิ่งที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าสนใจและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ควรสร้างเนื้อหาที่:

  • ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน: ให้ข้อมูลที่มีประโยชน์และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย การสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์จะช่วยให้ผู้ใช้งานมีความพึงพอใจและกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณอีกครั้ง
  • มีความน่าเชื่อถือ: ใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาของคุณและทำให้ผู้ใช้งานมีความเชื่อมั่นในข้อมูลที่นำเสนอ
  • มีการใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม: ไม่ควรใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไป แต่ควรใช้ในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น หัวข้อและเนื้อหาหลัก การใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณและจัดอันดับได้ดีขึ้น

นอกจากการสร้างเนื้อหาที่เป็นบทความแล้ว ควรพิจารณาใช้รูปแบบเนื้อหาอื่นๆ เช่น วิดีโอ, อินโฟกราฟิก, บล็อกโพสต์ และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลาย

การปรับแต่ง Off-Page SEO

การปรับแต่ง Off-Page SEO คือการสร้างลิงก์ (backlink) จากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์ ควร:

  • สร้างลิงก์คุณภาพ: จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ การสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณและทำให้เครื่องมือค้นหามองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณค่า
  • ทำ Guest Blogging: เขียนบทความลงเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อสร้างลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ การทำ Guest Blogging เป็นวิธีที่ดีในการสร้างลิงก์คุณภาพและเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ของคุณ
  • ใช้ Social Bookmarking: แชร์ลิงก์ของคุณในเว็บไซต์ Social Bookmarking เพื่อเพิ่มการมองเห็น การใช้ Social Bookmarking ช่วยให้ลิงก์ของคุณถูกแชร์และเข้าถึงผู้ใช้งานมากขึ้น

นอกจากนี้ การมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์ เช่น ฟอรัมและกลุ่มสนทนา ยังเป็นวิธีที่ดีในการสร้างลิงก์และเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ของคุณ การสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลในวงการ (Influencers) และการใช้กลยุทธ์การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) ยังเป็นส่วนหนึ่งของการปรับแต่ง Off-Page SEO ที่มีประสิทธิภาพ

การใช้โซเชียลมีเดียในการทำ SEO

การใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มการมองเห็นและการแชร์ลิงก์ของเว็บไซต์ ควร:

  • สร้างโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียต่างๆ: เช่น Facebook, Instagram, Twitter และ LinkedIn การมีโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์มช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลากหลายและเพิ่มโอกาสในการสร้างการเชื่อมต่อ
  • โพสต์เนื้อหาที่น่าสนใจและมีประโยชน์: เพื่อดึงดูดผู้ติดตามและเพิ่มการแชร์ลิงก์ การโพสต์เนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงกับความต้องการของผู้ติดตามช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและการมองเห็นของเว็บไซต์ของคุณ
  • ใช้โฆษณาในโซเชียลมีเดีย: เพื่อเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเพิ่มการคลิกมายังเว็บไซต์ การใช้โฆษณาในโซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับความต้องการของคุณ

นอกจากนี้ การใช้การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) บนโซเชียลมีเดีย เช่น การสร้างบล็อกโพสต์, วิดีโอ, และอินโฟกราฟิก ยังช่วยเพิ่มความน่าสนใจและการมีส่วนร่วมของผู้ติดตาม การมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามโดยการตอบความคิดเห็นและคำถามยังเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์และเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ

การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)

ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO ควร:

  • ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็ว: ลดขนาดไฟล์ภาพและใช้บริการ CDN (Content Delivery Network) เว็บไซต์ที่โหลดเร็วช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีขึ้นและลดอัตราการละทิ้งหน้าเว็บ
  • ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย: มีเมนูนำทางที่ชัดเจนและการจัดเรียงข้อมูลที่เป็นระเบียบ การออกแบบที่ใช้งานง่ายช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลและสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
  • ทำให้เว็บไซต์เป็น Mobile-Friendly: ใช้การออกแบบ Responsive Design เพื่อให้เว็บไซต์สามารถใช้งานได้ดีบนอุปกรณ์ทุกประเภท การออกแบบที่ตอบสนองต่ออุปกรณ์มือถือช่วยเพิ่มการเข้าถึงและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น

การปรับปรุง UX ยังรวมถึงการทำให้เว็บไซต์มีการจัดการเนื้อหาที่เป็นระเบียบ การใช้สีและฟอนต์ที่อ่านง่าย การมีระบบค้นหาที่มีประสิทธิภาพ และการให้ข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ให้ตรงตามหลัก Mobile SEO นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ UX เพื่อทดสอบและปรับปรุงการใช้งานของเว็บไซต์ยังเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง

การวัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์ SEO

การวัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์ SEO เป็นสิ่งที่ควรทำอย่างต่อเนื่อง ควร:

  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เว็บ: เช่น Google Analytics และ Google Search Console เพื่อตรวจสอบผลการทำ SEO เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของคุณ
  • ปรับปรุงเนื้อหาและการใช้คีย์เวิร์ด: ตามผลการวิเคราะห์และคำแนะนำจากเครื่องมือวิเคราะห์ การปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานและการใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้น
  • ทำการทดสอบ A/B Testing: เพื่อหากลยุทธ์ที่ได้ผลดีที่สุดในการเพิ่มยอดขาย การทำ A/B Testing ช่วยให้คุณสามารถเปรียบเทียบและเลือกวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณ

นอกจากนี้ ควรมีการติดตามและปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเครื่องมือค้นหาและพฤติกรรมของผู้ใช้งาน การเรียนรู้และปรับตัวกับแนวโน้มใหม่ๆ ในวงการ SEO ยังเป็นสิ่งที่สำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน

FAQs เกี่ยวกับการทำ SEO สำหรับ Ecommerce

  1. SEO สำหรับ Ecommerce คืออะไร? SEO สำหรับ Ecommerce คือการปรับแต่งเว็บไซต์ร้านค้าออนไลน์ให้ติดอันดับสูงในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการมองเห็นและยอดขายของสินค้าและบริการ
  2. ทำไม SEO สำคัญกับธุรกิจ Ecommerce? SEO ช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ เพิ่มจำนวนผู้เข้าชม และเพิ่มยอดขาย โดยการทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
  3. การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดคืออะไร? การวิเคราะห์คีย์เวิร์ดคือการค้นหาและเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมสำหรับการทำ SEO โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner หรือ Ahrefs เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและการแข่งขันต่ำ
  4. On-Page SEO คืออะไร? On-Page SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับเครื่องมือค้นหา เช่น การใช้คีย์เวิร์ดใน Title Tag และ Meta Description การปรับแต่ง URL และการใช้ Headings (H1, H2, H3) เพื่อจัดระเบียบเนื้อหา
  5. การสร้างลิงก์ (Backlinks) มีความสำคัญอย่างไร? การสร้างลิงก์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา โดยการสร้างลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ

อ้างอิงจาก

https://www.semrush.com/blog/ecommerce-seo

ติดต่อรับทำ SEO กับ OneGo

เพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณด้วยบริการรับทำ SEO คุณภาพและ SEO สายเทา จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ OneGo