On-Page SEO คืออะไร? เคล็ดลับวิธีทำฉบับสมบูรณ์ อัพเดทปี 2024

Marketing, SEO

On-Page SEO คือกระบวนการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของหน้าเว็บเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของเสิร์ชเอนจิน ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา ความสำคัญของ On-Page SEO ไม่ได้จำกัดแค่การใช้คีย์เวิร์ด แต่ยังครอบคลุมถึงการปรับปรุงคุณภาพเนื้อหา การจัดการโครงสร้าง URL การใช้แท็กต่างๆ และการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ในบทความนี้ เราจะนำเสนอเคล็ดลับวิธีทำ On-Page SEO ฉบับสมบูรณ์ที่อัพเดทล่าสุดสำหรับปี 2024 ซึ่งเป็น 1 ใน 206 ปัจจัย SEO ทำเว็บติดอันดับ Google เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับตัวอย่างและคำแนะนำที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง

สารบัญ

ทำไม On-Page SEO ถึงสำคัญในการทำอันดับเว็บให้สูงขึ้น?

การทำ On-page SEO มีความสำคัญเพราะเป็นการทำให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของคุณและนำข้อมูลเหล่านี้ไปสู่กระบวนการจัดทำดัชนีและการจัดอันดับ เสิร์ชเอนจิน Google พยายามที่จะเชื่อมโยงหน้าเว็บกับคีย์เวิร์ดและคำค้นหาที่ผู้ใช้พิมพ์ในช่องค้นหาผ่านองค์ประกอบของ On-page SEO คุณสามารถชี้แนะเสิร์ชเอนจิน Google ว่าคีย์เวิร์ดใดที่คุณต้องการให้หน้าเว็บของคุณติดอันดับ หัวใจหลักคือการปรับแต่งที่ทำกับหน้าเว็บ (On-Page) จะต้องช่วยให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานดีขึ้น

การทำ On-Page SEO

ประโยชน์ของการทำ On-Page SEO

  • เพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหา: On-Page SEO ช่วยปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาให้ตอบโจทย์ความต้องการของประผู้ใช้งาน ทำให้เนื้อหาน่าสนใจและมีคุณค่า
  • ปรับปรุงการจัดการคีย์เวิร์ดได้ดีขึ้น: ช่วยให้การใช้คีย์เวิร์ดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสิร์ชเอนจิน Google สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
  • เพิ่มโอกาสติดอันดับสูงขึ้น: การปรับแต่งหน้าเว็บช่วยให้เสิร์ชเอนจิน Google สามารถรวบรวมข้อมูลและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
  • เพิ่มโอกาสในการรับ Backlink: เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพสูงมักจะได้รับ Backlink จากเว็บไซต์อื่น ๆ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้อันดับดีขึ้นตามไปด้วย
  • ช่วยเพิ่ม Conversion Rate: เมื่อเว็บไซต์มีโครงสร้างและเนื้อหาที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เปลี่ยนเป็นลูกค้า
  • เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับปรุงตามหลัก On-Page SEO จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของผู้ใช้งานและเสิร์ชเอนจิน

สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาว่า SEO คืออะไร?

รวบรวม 9 เทคนิควิธีการทำ On-Page SEO ให้ถูกหลัก Google และโดนใจผู้ใช้งาน

  1. การปรับแต่งชื่อเรื่อง (Page Title Optimization)
  2. การปรับแต่งคำอธิบาย (Meta Description Optimization)
  3. การปรับแต่งหัวข้อ H1 (H1 Tag Optimization)
  4. การเขียนคอนเท้นท์ให้ตรง Search Intent (Content SEO)
  5. การเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บ (Internal Linking)
  6. การปรับแต่งรูปภาพ (Image SEO)
  7. การปรับแต่งวิดิโอ (Video SEO)
  8. Google Featured Snippets
  9. การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้ากับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search SEO)
9 เทคนิควิธีการทำ SEO

1. การปรับแต่งชื่อเรื่อง (Page Title Optimization)

เมื่อคุณเริ่มต้นทำ On-page SEO สิ่งแรกที่คุณควรทำคือการเพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อเรื่อง (Title Tag) แท็กชื่อมีความสำคัญอย่างมากต่อ SEO ด้วยเหตุผลสองประการแท็กชื่อจะแสดงในผลการค้นหา ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ผู้ใช้จะเห็นก่อนที่จะเข้าชมเว็บไซต์ของคุณและอย่างที่สองคือมันยังเป็นสัญญาณสำคัญแก่ให้เสิร์ชเอนจิน Google เกี่ยวกับเนื้อหาของหน้าเว็บ

วิธีสร้าง Title Tag ที่ถูกต้องตามหลักของเสิร์ชเอนจิน

Title Tag คืออะไร?

แท็กชื่อเรื่อง (Title Tag) คือองค์ประกอบ HTML  ที่ใช้กำหนดชื่อของหน้าเว็บ แท็กนี้จะปรากฏในแถบเบราว์เซอร์และแสดงในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน Google Title Tag เป็นข้อความที่สรุปเนื้อหาหลักของหน้าเว็บและช่วยให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร การใช้แท็กชื่ออย่างเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นและอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาได้

 <title>....</title>

วิธีสร้าง Title Tag ที่ถูกต้องตามหลักของเสิร์ชเอนจิน

  • ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง: ใส่คีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าเว็บไว้ในแท็กชื่อ
  • ความยาวที่เหมาะสม: แท็กชื่อควรมีความยาวระหว่าง 50-60 ตัวอักษร เพื่อให้สามารถแสดงผลได้ครบถ้วนในหน้าผลการค้นหา
  • ชัดเจนและกระชับ: แท็กชื่อควรสื่อความหมายได้ชัดเจนและกระชับ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้
  • ใส่ชื่อแบรนด์: หากมีพื้นที่เพียงพอ ควรใส่ชื่อแบรนด์ไว้ในแท็กชื่อ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและการจดจำ
  • หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่จำเป็น: ตัดคำที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้แท็กชื่อมีความกระชับและตรงประเด็น
  • ปรับให้เหมาะสมกับผู้ใช้มือถือ: ตรวจสอบว่าแท็กชื่อสามารถแสดงผลได้ดีในอุปกรณ์มือถือ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นได้ชัดเจน
  • แต่ละหน้าของเว็บไซต์ควรมีแท็กชื่อที่ไม่ซ้ำกัน: เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถแยกแยะเนื้อหาของแต่ละหน้าได้อย่างชัดเจน
  • ใส่คีย์เวิร์ดไว้ที่จุดเริ่มต้นของแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มความสำคัญและความเด่นชัดของคีย์เวิร์ด
  • สร้างแท็กชื่อสำหรับผู้ใช้ ไม่ใช่เพื่อเสิร์ชเอนจิน: ให้เน้นการดึงดูดและให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้
  • ใช้ตัวเลขและคำที่มีพลังดึงดูดในแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและการดึงดูด
  • ใช้คำที่มีอารมณ์ในแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มการดึงดูดและความสนใจของผู้ใช้
  • ใส่วงเล็บที่ท้ายแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมและความน่าสนใจ
  • ตั้ง URL ตามแท็กชื่อ: เพื่อให้ URL สอดคล้องกับเนื้อหาและง่ายต่อการจำ
  • สร้างแท็กชื่อให้แตกต่างจากที่มีอยู่ในหน้าแรกของ Google: เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงในผลการค้นหา

2. การปรับแต่งคำอธิบาย (Meta Description Optimization)

การปรับแต่งคำอธิบาย (Meta Description Optimization)

Meta Description Tag คืออะไร?

แท็กคำอธิบายเมตา (Meta Description Tag) คือองค์ประกอบ HTML ที่ใช้ในการอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับเนื้อหาของหน้าเว็บ Meta Description Tag จะปรากฏใต้แท็กชื่อในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจถึงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่อยู่ในหน้าเว็บนั้น การใช้คำอธิบายเมตาอย่างถูกต้องสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้

<meta name="description" content="...."/>

วิธีการปรับแต่ง Meta Description เพื่อให้เหมาะกับ SEO

  • ใช้คำหลัก (Keywords) อย่างเหมาะสม: การใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอยู่หน้าสุดใน Meta Description จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับอะไร และช่วยเพิ่มโอกาสที่หน้าของคุณจะปรากฏในการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
  • เขียนข้อความที่น่าสนใจและดึงดูด: Meta Description ควรมีข้อความที่กระชับ ชัดเจน และน่าสนใจ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ เช่น การใช้คำกระตุ้นความสนใจ (Call to Action) หรือการถามคำถามที่ทำให้ผู้อ่านอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม
  • จำกัดความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร: ควรเขียน Meta Description ที่มีความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร เพราะถ้าเกินนี้ข้อความอาจถูกตัดเมื่อแสดงในผลการค้นหา ทำให้ผู้ใช้อ่านไม่ครบถ้วน
  • ให้ข้อมูลที่ตรงกับเนื้อหาในหน้าเว็บ: Meta Description ควรให้ข้อมูลที่ตรงกับเนื้อหาที่ผู้ใช้จะพบในหน้าเว็บ เพื่อป้องกันการทำให้ผู้ใช้รู้สึกหลอกลวงและออกจากเว็บไซต์เร็ว (Bounce Rate)
  • หลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำซ้อน: ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำซ้อนหรือการใช้คำที่ไม่มีความหมาย เพราะจะทำให้ Meta Description ดูไม่เป็นธรรมชาติและไม่น่าสนใจ
  • เขียนในรูปแบบของประโยคที่สมบูรณ์: Meta Description ควรเขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์และเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอ่านและเข้าใจได้ทันที
  • ทดสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ: ควรทำการทดสอบ Meta Description เพื่อดูว่ามีผลต่อการคลิก (CTR) อย่างไร และทำการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • เขียน Meta Description ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า: แต่ละหน้าควรมี Meta Description ที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาที่แตกต่างกันของแต่ละหน้า
  • ใส่วันที่อัพเดตล่าสุด (ถ้ามี): หากเนื้อหาในหน้านั้นมีการอัพเดตล่าสุด ควรใส่วันที่อัพเดตใน Meta Description เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าเนื้อหานั้นทันสมัย
  • ให้เหตุผลที่ผู้ใช้ควรเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ (ใส่คุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์): Meta Description ควรให้เหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมผู้ใช้ควรเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เช่น การระบุคุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เว็บไซต์ของคุณมี

3. การปรับแต่งหัวข้อ H1 (H1 Tag Optimization)

แท็ก H1 คืออะไร?

แท็ก H1 คือ แท็ก HTML ที่ใช้ในการกำหนดหัวเรื่องหลักของหน้าเว็บเพจ แท็กนี้ถือว่าเป็นหัวเรื่องที่สำคัญที่สุดในหน้าเว็บเพจ โดยมีบทบาทในการบอกให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้งานทราบว่าเนื้อหาหลักของหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร การใช้แท็ก H1 อย่างเหมาะสมช่วยปรับปรุงการจัดอันดับ SEO และทำให้เนื้อหาดูเป็นระเบียบและเข้าใจง่ายมากขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน

<h1>....</h1>

ความแตกต่างระหว่าง Title Tag กับ H1 คือ:

  • แท็กไตเติล (Title Tag) จะแสดงในหน้าผลการค้นหา (SERPs) โดยถูกใช้เป็นหัวเรื่องหลักของตัวอย่างในผลการค้นหา
  • แท็กไตเติลจะไม่แสดงให้เห็นบนหน้าเว็บเพจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของส่วนหัวของหน้า (<header>....</header>) และจะแสดงในชื่อบนเบราว์เซอร์ด้วย
  • แท็ก H1 จะแสดงให้ผู้ใช้เห็นขณะเรียกดูหน้าเว็บ
การปรับแต่งหัวข้อ H1 (H1 Tag Optimization)

แนวทางสำหรับการใช้แท็ก H1 ให้เหมาะสมสำหรับการทำ SEO

  • ใช้คำหลัก (Keywords) ในแท็ก H1: การใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องในแท็ก H1 จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บและเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
  • ใช้แท็ก H1 หนึ่งแท็กต่อหนึ่งหน้า: เพื่อความชัดเจนและให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจได้ง่ายขึ้น ควรใช้แท็ก H1 เพียงหนึ่งแท็กต่อหนึ่งหน้าเท่านั้น
  • ทำให้ข้อความในแท็ก H1 กระชับและชัดเจน: ข้อความในแท็ก H1 ควรสั้น กระชับ และชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ทันที
  • ใส่ H1 แท็กที่ส่วนบนของหน้า: ควรวางแท็ก H1 ไว้ในส่วนบนของหน้าเว็บ เพื่อให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้สามารถเห็นได้ทันทีเมื่อเข้ามายังหน้าเว็บ
  • ใช้แท็ก H1 ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า: แต่ละหน้าควรมีแท็ก H1 ที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาที่แตกต่างกันของแต่ละหน้า
  • ทำให้แท็ก H1 น่าสนใจและดึงดูด: แท็ก H1 ควรมีข้อความที่น่าสนใจและดึงดูด เพื่อให้ผู้ใช้มีความต้องการที่จะอ่านเนื้อหาต่อไปในหน้าเว็บ
  • ใช้หัวข้อย่อย (H2, H3) อย่างมีประสิทธิภาพ: การใช้หัวข้อย่อยเช่นแท็ก H2, H3 จะช่วยให้การจัดระเบียบเนื้อหาดีขึ้นและทำให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
  • แท็ก H1 ควรเหมือนหรือแตกต่างจาก Title Tag บ้างเล็กน้อย: การที่แท็ก H1 ควรเหมือนหรือแตกต่างจาก Title Tag บ้างเล็กน้อย เพื่อให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชื่อหน้าและเนื้อหาภายใน
  • ทำให้แท็ก H1 มองเห็นได้อย่างชัดเจน: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแท็ก H1 มองเห็นได้และไม่ถูกซ่อนจากผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นและเข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้
  • แท็ก H1 ควรตรงกับความตั้งใจค้นหา (Search Intent) ของผู้ใช้: การที่แท็ก H1 ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้ จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้อย่างดีขึ้น

4. การเขียนคอนเท้นท์ให้ตรง Search Intent (Content SEO)

Content SEO คืออะไร?

Content SEO คือการปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน Google โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาทั่วไป (Organic Search Traffic) ซึ่งการทำ Content SEO นั้นรวมถึงการเขียนและจัดโครงสร้างเนื้อหาให้สอดคล้องกับคำหลัก (Keywords) ที่ผู้ใช้ค้นหาและยังต้องมีคุณภาพสูงเพื่อดึงดูดและรักษาความสนใจของผู้ใช้ให้อยู่บนหน้าเว็บนานที่สุด

Content SEO

ประเภทต่างๆของคอนเท้นท์อะไรบ้าง?

  1. บทความบล็อก (Blog Posts): บทความบล็อกเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ โดยควรมีคำหลัก (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
  2. บทความข้อมูล (Informational Articles): บทความที่ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะ เช่น วิธีการทำอะไรบ่างอย่าง, คำแนะนำ หรือข้อมูลพื้นฐานที่ผู้ใช้ค้นหา
  3. เอกสารคู่มือ (Guides and How-To Guides): เอกสารคู่มือเป็นเนื้อหาที่ละเอียดและครอบคลุมในหัวข้อเฉพาะ โดยมักจะให้ข้อมูลเชิงลึกหรือแนะนำวิธีการต่างๆ
  4. รีวิวสินค้าและบริการ (Product and Service Reviews): รีวิวสินค้าและบริการช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง ช่วยในการตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการ
  5. หน้าแลนดิ้ง (Landing Pages): หน้าแลนดิ้งเป็นหน้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป้าหมายเฉพาะ เช่น การขายสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการเก็บข้อมูลลูกค้า ควรมีคำหลักที่ชัดเจนและมี Call to Action ที่ชัดเจน
  6. อินโฟกราฟิก (Infographics): อินโฟกราฟิกเป็นการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบกราฟิกที่สวยงามและเข้าใจง่าย มักใช้เพื่อสรุปข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และมักถูกแชร์ในโซเชียลมีเดีย
  7. วิดีโอ (Videos): หน้ารวมวิดีโอมีความนิยมสูงในปัจจุบัน สามารถใช้ในการสอน รีวิว สาธิต หรือให้ข้อมูลในรูปแบบที่มีความน่าสนใจและเข้าถึงได้ง่าย
  8. คำถามที่พบบ่อย (FAQs): หน้า FAQs เป็นการรวบรวมคำถามและคำตอบที่ผู้ใช้ถามบ่อยๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
  9. เนื้อหาที่เกี่ยวกับข่าวสาร (News Content): เนื้อหาข่าวสารที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่อัพเดตรวดเร็ว ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและอัปเดต
  10. การสัมภาษณ์และเรื่องราว (Interviews and Case Studies): การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหรือการนำเสนอกรณีศึกษา เป็นเนื้อหาที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ใช้

วิธีการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับ SEO

  1. การวิจัยคำหลัก (Keyword Research): เริ่มต้นด้วยการวิจัยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อค้นหาคำหลักที่มีการค้นหาสูงและมีการแข่งขันต่ำ
  2. ใช้คำหลักในตำแหน่งสำคัญ: ใช้คำหลักในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น
    Title Tag: ควรมีคำหลักหลัก
    Meta Description: ใช้คำหลักเพื่อดึงดูดผู้ใช้
    หัวเรื่อง (Headings): ใช้คำหลักใน H1, H2, H3
    เนื้อหา (Content): ใส่คำหลักในย่อหน้าแรกและกระจายให้ทั่วทั้งบทความอย่างเป็นธรรมชาติ
  3. URL: ใส่คำหลักใน URL เพื่อให้เข้าใจง่าย
  4. ใช้คำ Long Tail Keywords ในหัวข้อย่อย: การใช้ Long Tail Keywords ในหัวข้อย่อยจะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาที่เจาะจงมากขึ้นและเพิ่มการเข้าชมจากผู้ใช้ที่สนใจ
  5. ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้อง (LSI Keywords) ในเนื้อหา: การใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในเนื้อหาจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจบริบทและความหมายของเนื้อหาได้ดีขึ้น
  6. ตอบสนองความตั้งใจของผู้ใช้และทำให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น: เนื้อหาควรตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้ใช้ และควรทำให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร
  7. เขียนเนื้อหาที่มีความยาว (Long-Form Content): การเขียนเนื้อหาที่มีความยาวและมีรายละเอียดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับสูงและให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ผู้ใช้
  8. ใช้สารบัญ (Table of Contents): การใช้สารบัญจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำทางและค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
  9. ใช้ลิงก์ภายใน (Internal Links): การใช้ลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาอื่นๆ ในเว็บไซต์ของคุณช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์และช่วยเพิ่มเวลาในการอยู่บนเว็บไซต์ของผู้ใช้
  10. ใช้ลิงก์ภายนอก (External Links): การลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
  11. สร้างเนื้อหาที่สามารถแชร์ได้: สร้างเนื้อหาที่มีความน่าสนใจและมีประโยชน์ที่ผู้ใช้อยากจะแชร์ เช่น บทความที่ให้ข้อมูลเชิงลึก วิธีการทำสิ่งต่างๆ หรือเคล็ดลับ
  12. อัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ: การอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าสนใจและมีความสดใหม่ ควรตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาเดิมให้ทันสมัยอยู่เสมอ
  13. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Analytics Tools): ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics เพื่อวัดผลการปรับแต่ง SEO และดูว่าเนื้อหาไหนที่ทำงานได้ดี และเนื้อหาไหนที่ต้องการการปรับปรุง
  14. ทำให้เนื้อหาอ่านง่าย: ควรจัดรูปแบบเนื้อหาให้เป็นระเบียบ ใช้หัวเรื่อง ใช้ย่อหน้าสั้นๆ ใช้ตัวหนาและตัวเอียงเพื่อเน้นส่วนที่สำคัญของเนื้อหา ใช้รายการเพื่อแสดงขั้นตอน ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย (และขนาดใหญ่พอ) กำหนดช่องไฟให้เพียงพอ บนอุปกรณ์ทุกชนิด เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
  15. ให้ผู้ใช้มีทางเลือกกดต่อไปด้วย CTA: ควรมีการเรียกร้องปุ่มหรือฟอร์ม Call to Action ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำตามขั้นตอนที่ต้องการได้ง่าย เช่น การสมัครสมาชิก การดาวน์โหลด หรือการซื้อสินค้า

5. การเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บ (Internal Linking)

การเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บ (Internal Linking)

Internal Linking คืออะไร?

การเชื่อมโยงลิงก์ภายใน (Internal Linking) คือกระบวนการเชื่อมโยงหน้าเว็บต่างๆ ภายในเว็บไซต์เดียวกัน โดยใช้ลิงก์เพื่อเชื่อมต่อเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กัน การลิงก์ภายในมีประโยชน์หลายประการ ได้แก่:

  1. ช่วยในการนำทาง (Navigation): การลิงก์ภายในช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำทางไปยังหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
  2. ช่วยเพิ่มการเวลาอยู่บนเว็บไซต์ (Time on Site): เมื่อผู้ใช้สามารถคลิกลิงก์เพื่อไปยังหน้าอื่นๆ ที่สนใจได้ง่ายขึ้น จะช่วยเพิ่มเวลาในการอยู่บนเว็บไซต์ของผู้ใช้ ซึ่งสามารถลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) ได้
  3. ช่วยในการจัดทำโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure): การลิงก์ภายในช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ และสามารถจัดทำแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้การคืบคลานและการจัดอันดับของเสิร์ชเอนจินดีขึ้น
  4. ช่วยในการแจกจ่ายค่า PageRank: การลิงก์ภายในช่วยในการแจกจ่ายค่า PageRank (คะแนนความสำคัญของหน้า) ไปยังหน้าอื่นๆ ภายในเว็บไซต์ ซึ่งช่วยในการปรับปรุงอันดับของหน้าเว็บในผลการค้นหา
  5. ช่วยในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหา: การลิงก์ภายในช่วยให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาต่างๆ ภายในเว็บไซต์ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา
<a title="...."  href="https://....com/">....</a>

ทำไมการ Internal Linking จึงมีความสำคัญ?

ตามที่เห็นในแผนภาพข้างบน (การลิงก์ภายในที่ดี) หน้าแรกของเว็บไซต์ลิงก์ไปยังหน้าที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์ จากนั้นแต่ละหน้าก็ลิงก์ไปยังหน้าอื่น ๆ สร้างโครงข่ายเล็กๆ ขึ้นมา ในระหว่างกระบวนการ Crawling and Indexing Google จะเริ่มคืบคลานจากหน้าแรกของเว็บไซต์และตามลิงก์ต่าง ๆ เพื่อค้นหาและทำดัชนีหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์เดียวกัน ลิงก์ภายในช่วยให้กระบวนการนี้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการชี้ให้เห็นว่าหน้าใดเป็นหน้าที่สำคัญสำหรับเว็บไซต์

งานของคุณในการทำ SEO คือการสร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรและใช้ลิงก์ภายในเพื่อแนะนำเสิร์ชเอนจินและผู้ใช้ไปยังหน้าที่มีคุณค่ามากที่สุดของเว็บไซต์ของคุณ

คำแนะนำของ Google เกี่ยวกับการลิงก์ภายใน

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างลิงก์ภายใน

  1. ใช้ข้อความลิงก์ที่เหมาะสม (Anchor Text): ข้อความลิงก์ควรมีความชัดเจนและมีความหมาย ควรใช้คำหลักหรือคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าที่ลิงก์ไป เพื่อให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน้าได้ดีขึ้น
  2. ลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: การลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และทำให้เสิร์ชเอนจินเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาต่างๆ
  3. ใช้ลิงก์ในเนื้อหาหลัก: ควรใช้ลิงก์ภายในในส่วนของเนื้อหาหลัก (Main Content) ของหน้าเว็บ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่าย
  4. สร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่มีลำดับชั้น: การสร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่มีลำดับชั้นและการจัดการลิงก์ภายในให้สอดคล้องกับโครงสร้างนี้จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้สามารถนำทางและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
  5. ตรวจสอบลิงก์เสีย (Broken Links): ควรตรวจสอบและแก้ไขลิงก์ที่เสียอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้พบเจอกับหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งอาจทำให้ประสบการณ์การใช้งานลดลง
  6. ใช้ลิงก์ในข้อความคำแนะนำ (Contextual Links): การลิงก์ภายในที่อยู่ในบริบทของเนื้อหาจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้อย่างสะดวก
  7. ใช้ลิงก์ในการนำทาง (Navigation): การใช้ลิงก์ภายในในเมนูนำทางหรือแถบด้านข้าง (Sidebar) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้าที่สำคัญได้ง่าย
  8. เพิ่มลิงก์ภายในให้มีประโยชน์ต่อประสบการณ์ของผู้ใช้: การเพิ่มลิงก์ภายในควรทำเมื่อมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
  9. ไม่ควรใช้ลิงก์ภายในเกิน 15-20 ลิงก์ต่อหน้า: ควรใช้ลิงก์ภายในไม่เกิน 15-20 ลิงก์ต่อหน้าในส่วนของเนื้อหา แม้จะไม่ใช่กฎหรือแนวทางที่ชัดเจน แต่เป็นคำแนะนำที่ดี
  10. ใช้รายงานการลิงก์ภายในจาก Google Search Console: คุณสามารถใช้รายงานการลิงก์ภายในภายใต้ส่วน “LINKS” ในเครื่องมือ Google Search Console เพื่อค้นหาสถานะการลิงก์ภายใน (หน้าที่มีลิงก์มากที่สุด ข้อความลิงก์ที่ใช้ และข้อมูลอื่นๆ)
  11. จำนวนลิงก์ทั้งหมดต่อหน้า (ภายในและภายนอก) ไม่เกิน 100 ลิงก์: ควรเช็คให้แน่ใจว่าจำนวนลิงก์ทั้งหมดต่อหน้า (ทั้งภายในและภายนอก) ไม่เกิน 100 ลิงก์

6. การปรับแต่งรูปภาพ (Image SEO)

ประโยชน์ของ SEO จากการใช้ภาพในเนื้อหา

  • รูปภาพทำให้เนื้อหาของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้เข้าชมมีแนวโน้มที่จะอ่านบทความของคุณมากขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่เนื้อหาที่มีภาพที่เกี่ยวข้องจะได้รับการเข้าชมมากกว่าเนื้อหาที่ไม่มีภาพถึง 94%
  • ผู้อ่านของคุณมีแนวโน้มที่จะแชร์หน้าเว็บที่มีภาพบนโซเชียลมีเดีย และโพสต์ที่แชร์นั้นมีโอกาสได้รับความสนใจจากโซเชียลมีเดียมากกว่าโพสต์ที่เป็นข้อความเพียงอย่างเดียว จากการศึกษาล่าสุดพบว่าโพสต์ที่มีภาพจะได้รับการรีทวีตมากขึ้นถึง 150%
  • รูปภาพทำให้คุณอธิบายแนวคิดหรือทำให้จุดสำคัญที่ต้องการเน้นแข็งแกร่งขึ้นได้ง่ายขึ้น
  • รูปภาพเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายในการเสริมประสิทธิภาพ SEO ของคุณ โดยให้สัญญาณที่ถูกต้องกับเสิร์ชเอนจินเกี่ยวกับเนื้อหาของคุณผ่านทาง ALT Text ของภาพ
การปรับแต่งรูปภาพ (Image SEO)

วิธีการปรับแต่งภาพของคุณให้เหมาะกับเสิร์ชเอนจิน

  1. ใช้ชื่อไฟล์ที่มีความหมาย: ควรตั้งชื่อไฟล์ภาพให้มีความหมายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าภาพนั้นเกี่ยวกับอะไร เช่น on-page-seo-tips.jpg แทนที่จะใช้ชื่อไฟล์ทั่วไป เช่น IMG001.jpg
  2. บีบอัดภาพเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลด: การบีบอัดภาพจะช่วยลดขนาดไฟล์และเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ สามารถใช้เครื่องมือออนไลน์เช่น TinyPNG หรือ Imagify ในการบีบอัดภาพให้แสดงผลเป็น WebP
  3. ใช้ภาพที่มีคุณภาพสูง: ภาพที่มีคุณภาพสูงและชัดเจนจะดึงดูดความสนใจของผู้ใช้และเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน ควรหลีกเลี่ยงภาพที่มีความละเอียดต่ำหรือไม่ชัดเจน
  4. ใช้ Alt Text ที่เหมาะสม: Alt Text คือข้อความที่อธิบายภาพ ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องใน Alt Text เพื่อให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของภาพและช่วยให้ภาพของคุณมีอันดับสูงขึ้นในการค้นหา เช่น เคล็ดลับการปรับแต่ง SEO สำหรับภาพ
  5. ใช้คำอธิบายภาพ (Caption): คำอธิบายภาพช่วยเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพและช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
  6. ปรับแต่งตำแหน่งของภาพ: ควรวางภาพในตำแหน่งที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อให้ภาพมีความหมายและเสริมเนื้อหาของคุณ
  7. ใช้ภาพที่ตอบสนองต่อทุกอุปกรณ์ (Responsive Images): ควรใช้ภาพที่สามารถปรับขนาดและความละเอียดได้ตามอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ใช้งาน เพื่อให้ภาพดูดีและโหลดได้รวดเร็วในทุกอุปกรณ์
  8. เพิ่ม Structured Data สำหรับภาพ: การใช้ Image Schema จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจและจัดทำดัชนีภาพได้ดีขึ้น
  9. เพิ่มแท็ก Open Graph: การใช้แท็ก Open Graph จะช่วยให้ภาพแสดงผลได้ดีเมื่อแชร์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้รับการคลิกและการเข้าชม
  10. สร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับภาพ (Image Sitemap): แผนผังเว็บไซต์สำหรับภาพจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินค้นหาและจัดทำดัชนีภาพบนเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น สามารถสร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับภาพโดยใช้ Google Search Console

7. การปรับแต่งวิดิโอ (Video SEO)

คนชอบดูวิดีโอมากกว่าอ่านข้อความ และไม่น่าแปลกใจที่ YouTube เป็นเครื่องมือค้นหาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก วิดีโอเช่นเดียวกับภาพมี schema markup และรูปแบบแผนผังเว็บไซต์ของตัวเอง ทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญในการช่วยให้ Google เข้าใจว่าวิดีโอของคุณเกี่ยวกับอะไร เพื่อให้สามารถจัดทำดัชนีได้อย่างถูกต้องและมีโอกาสในการจัดอันดับที่สูงขึ้น

การปรับแต่งวิดิโอ (Video SEO)

Video Schema Markup

Video Schema Markup คือการใช้โครงสร้างข้อมูล (structured data) หนึ่งในการทำ Technical SEO จาก Schema.org เพื่อให้เสิร์ชเอนจินอย่าง Google เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับวิดีโอที่คุณนำเสนอในเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น การใช้ Video Schema Markup คุณสามารถดูตัวอย่างการทำ Video Schema Markup ได้จากดานล่างนี้:

<script type="application/ld+json">
{
  "@context": "https://schema.org",
  "@type": "VideoObject",
  "name": "ชื่อวิดีโอ",
  "description": "คำอธิบายของวิดีโอ",
  "thumbnailUrl": "https://example.com/thumbnail.jpg",
  "uploadDate": "2023-01-01T08:00:00+08:00",
  "duration": "PT1M33S",
  "contentUrl": "https://example.com/videofile.mp4",
  "embedUrl": "https://example.com/embed/videofile",
  "interactionCount": "12345"
}
</script>
ข้อมูลที่ควรใส่ใน Video Schema Markup
  • name: ชื่อวิดีโอ
  • description: คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอ
  • thumbnailUrl: URL ของภาพขนาดย่อของวิดีโอ
  • uploadDate: วันที่อัปโหลดวิดีโอ
  • duration: ความยาวของวิดีโอ (ในรูปแบบ ISO 8601)
  • contentUrl: URL ของไฟล์วิดีโอ
  • embedUrl: URL สำหรับฝังวิดีโอในหน้าเว็บ
  • interactionCount: จำนวนการโต้ตอบ (เช่น จำนวนการดู)

Video Sitemaps

Video Sitemaps ช่วยให้เสิร์ชเอนจินสามารถค้นหาและทำดัชนีวิดีโอบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น โดยการเพิ่มข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิดีโอของคุณลงในไฟล์ XML นี่คือตัวอย่างของ Video Sitemap:

<?xml version="1.0" encoding="UTF-8"?>
<urlset xmlns="http://www.sitemaps.org/schemas/sitemap/0.9"
        xmlns:video="http://www.google.com/schemas/sitemap-video/1.1">
  <url>
    <loc>https://example.com/videos/video1</loc>
    <video:video>
      <video:thumbnail_loc>https://example.com/videos/thumbs/video1.jpg</video:thumbnail_loc>
      <video:title>ชื่อวิดีโอของคุณ</video:title>
      <video:description>คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอของคุณ</video:description>
      <video:content_loc>https://example.com/videos/video1.mp4</video:content_loc>
      <video:player_loc>https://example.com/videos/player?video=video1</video:player_loc>
      <video:duration>150</video:duration>
      <video:publication_date>2024-01-01T08:00:00+08:00</video:publication_date>
      <video:tag>SEO</video:tag>
      <video:tag>วิดีโอ</video:tag>
      <video:category>การศึกษา</video:category>
      <video:view_count>12345</video:view_count>
    </video:video>
  </url>
  
  <url>
    <loc>https://example.com/videos/video2</loc>
    <video:video>
      <video:thumbnail_loc>https://example.com/videos/thumbs/video2.jpg</video:thumbnail_loc>
      <video:title>ชื่อวิดีโอที่สองของคุณ</video:title>
      <video:description>คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอที่สองของคุณ</video:description>
      <video:content_loc>https://example.com/videos/video2.mp4</video:content_loc>
      <video:content_loc>https://example.com/videos/player?video=video2</video:player_loc>
      <video:publication_date>200</video:duration>
      <video:publication_date>2024-01-15T08:00:00+08:00</video:publication_date>
      <video:tag>การเรียนรู้</video:tag>
      <video:view_count>วิดีโอ</video:tag>
      <video:view_count>การศึกษา</video:category>
      <video:view_count>54321</video:view_count>
    </video:video>
  </url>
</urlset>

ในตัวอย่างนี้:

  • urlset: เป็นแท็กหลักที่ครอบคลุม URL ทั้งหมดในแผนผังเว็บไซต์
  • url: แต่ละ URL ของหน้าวิดีโอ
  • loc: ที่อยู่ URL ของหน้าวิดีโอ
  • video:thumbnail_loc ที่อยู่ URL ของภาพขนาดย่อของวิดีโอ
  • video:title ชื่อวิดีโอ
  • video:description คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอ
  • video:content_loc ที่อยู่ URL ของไฟล์วิดีโอ
  • video:player_loc ที่อยู่ URL สำหรับเล่นวิดีโอในตัวเล่นวิดีโอ
  • video:duration ความยาวของวิดีโอในวินาที
  • video:publication_date วันที่เผยแพร่วิดีโอในรูปแบบ ISO 8601
  • video:tag แท็กที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอ
  • video:view_count หมวดหมู่ของวิดีโอ
  • video:view_count จำนวนการดูวิดีโอ

แนวทางเทคนิคการจัดรูปแบบวิดิโอที่ดีที่สุดสำหรับการทำ SEO

  1. เลือกคำหลักที่เหมาะสม: เริ่มต้นด้วยการวิจัยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิดีโอ ใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อค้นหาคำหลักที่มีการค้นหาสูงและมีการแข่งขันต่ำ
  2. ใช้คำหลักในชื่อวิดีโอและคำอธิบาย: ควรใช้คำหลักในชื่อวิดีโอ (Title) และคำอธิบาย (Description) เพื่อช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าเนื้อหาของวิดีโอเกี่ยวกับอะไร
  3. ใช้แท็ก (Tags) ที่เกี่ยวข้อง: ใช้แท็กที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิดีโอเพื่อช่วยให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้ค้นหาวิดีโอของคุณได้ง่ายขึ้น
  4. สร้างภาพขนาดย่อ (Thumbnail) ที่น่าสนใจ: ภาพขนาดย่อที่ดึงดูดความสนใจจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาดูวิดีโอของคุณ ควรใช้ภาพที่มีความละเอียดสูงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา
  5. ใช้ Video Schema Markup: การใช้ Video Schema Markup จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับวิดีโอของคุณได้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในรูปแบบ rich snippets
  6. สร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับวิดีโอ (Video Sitemap): การสร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับวิดีโอจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินค้นหาและทำดัชนีวิดีโอบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
  7. เพิ่มคำบรรยาย (Subtitles) และคำบรรยายใต้ภาพ (Captions): การเพิ่มคำบรรยายและคำบรรยายใต้ภาพจะช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความต้องการพิเศษสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ดีขึ้น และช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของวิดีโอมากขึ้น
  8. ใช้ลิงก์ภายใน (Internal Links) และลิงก์ภายนอก (External Links): การใช้ลิงก์ภายในและภายนอกจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติม ควรลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์และเว็บไซต์อื่น ๆ
  9. วิเคราะห์ผลและปรับปรุง: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics และ YouTube Analytics เพื่อติดตามผลการทำงานของวิดีโอและปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณอย่างต่อเนื่อง
  10. ตรวจสอบไฟล์ robots.txt: ตรวจสอบไฟล์ robots.txt และให้แน่ใจว่า Google สามารถเข้าถึงวิดีโอของคุณได้
  11. ตรวจสอบวันหมดอายุของวิดีโอ: ตรวจสอบวันหมดอายุของวิดีโอและให้แน่ใจว่าวันที่นี้ไม่อยู่ในอดีต

Google Featured Snippets คือการแสดงผลพิเศษที่ Google จะแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ตรงกับคำค้นหาของผู้ใช้ในรูปแบบของกล่องข้อมูลที่ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหา (SERP) โดยไม่ต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ กล่องข้อมูลนี้มักประกอบไปด้วยข้อความสรุปที่สกัดมาจากหน้าเว็บ รูปภาพ ตาราง หรือรายชื่อ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและตรงประเด็น

featured snippet

รูปแบบของ Featured Snippets

Google Featured Snippets มีรูปแบบหลัก ๆ ดังนี้:

  1. Paragraph Snippet: ข้อความสั้น ๆ ที่สรุปคำตอบหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา
  2. List Snippet: รายการข้อมูลที่จัดเรียงเป็นลำดับ เช่น รายการขั้นตอนหรือรายการคำตอบ
  3. Table Snippet: ข้อมูลที่จัดเรียงในรูปแบบตารางเพื่อความเข้าใจง่ายและชัดเจน
  4. Video Snippet: คลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา โดยจะมีการแสดงตัวอย่างของวิดีโอ

ประโยชน์ของ Featured Snippets

  1. เพิ่มการมองเห็น: Featured Snippets ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา ทำให้เว็บไซต์ที่มีข้อมูลในกล่องนี้มีโอกาสได้รับการมองเห็นมากขึ้น
  2. เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์: แม้ข้อมูลจะแสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหา แต่ผู้ใช้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมยังคงคลิกเข้าไปอ่านต่อในเว็บไซต์ได้
  3. เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่มีข้อมูลปรากฏใน Featured Snippets มักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ

วิธีการเพิ่มโอกาสในการได้รับ Featured Snippets

  1. สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง: เนื้อหาควรมีความชัดเจนและตรงประเด็น ตอบคำถามหรือข้อมูลที่ผู้ใช้อาจต้องการค้นหา
  2. ใช้หัวเรื่องและการจัดรูปแบบ: ใช้หัวเรื่อง (Headings) และการจัดรูปแบบเนื้อหาให้เป็นระเบียบและง่ายต่อการอ่าน เช่น การใช้ย่อหน้า รายการ และตาราง
  3. วิจัยคำหลัก: ทำการวิจัยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับคำถามหรือข้อมูลที่ผู้ใช้อาจค้นหาและใส่คำหลักเหล่านั้นในเนื้อหา
  4. ตอบคำถามที่พบบ่อย: สร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามที่พบบ่อยหรือข้อมูลที่ผู้ใช้อาจค้นหาในรูปแบบที่เข้าใจง่าย

9. การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้ากับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search SEO)

Voice Search SEO คืออะไร?

Voice Search SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) ซึ่งเป็นการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตโดยใช้คำสั่งเสียงผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน, ลำโพงอัจฉริยะ (Smart Speakers) และระบบผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistants) เช่น Google Assistant, Siri และ Alexa การปรับแต่ง SEO สำหรับการค้นหาด้วยเสียงจะช่วยเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้ทำการค้นหาด้วยเสียง

Voice Search SEO

แนวทางการทำ Voice Search SEO

  1. ใช้ภาษาธรรมชาติและประโยคคำถาม การค้นหาด้วยเสียงมักใช้ภาษาธรรมชาติและประโยคคำถาม เช่น “ร้านอาหารใกล้ฉันมีที่ไหนบ้าง?” ดังนั้น การปรับแต่งเนื้อหาควรใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและตอบคำถามที่ผู้ใช้อาจถามบ่อย ๆ
  2. สร้างเนื้อหาที่ตอบคำถาม เนื้อหาควรมีการตอบคำถามที่ชัดเจนและตรงประเด็น เช่น การสร้างบทความ FAQ (Frequently Asked Questions) หรือการตอบคำถามที่พบบ่อยในบทความ
  3. ปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์มีผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาด้วยเสียง ควรปรับปรุงเว็บไซต์ให้โหลดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  4. ใช้ Structured Data การใช้ Schema Markup จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา
  5. เพิ่มความสำคัญให้กับเนื้อหาในท้องถิ่น (Local SEO) การค้นหาด้วยเสียงมักเป็นการค้นหาข้อมูลในท้องถิ่น เช่น ร้านอาหารใกล้เคียง ควรใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับสถานที่และข้อมูลในท้องถิ่น
  6. ปรับแต่งหน้าเว็บให้เหมาะกับอุปกรณ์มือถือ ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักใช้สมาร์ทโฟนในการค้นหาด้วยเสียง ควรปรับแต่งหน้าเว็บให้เหมาะสมกับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ
  7. ใช้คำหลัก Long-tail Keywords การค้นหาด้วยเสียงมักใช้ประโยคยาวและรายละเอียดมากกว่าการค้นหาด้วยข้อความ ควรใช้ Long-tail Keywords ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

Checklist รายการตรวจสอบ On-Page SEO

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

On-Page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ของเราเอง เช่น การใช้คีย์เวิร์ด, การจัดทำโครงสร้าง URL, การปรับปรุงเนื้อหา, และการใช้แท็ก HTML ให้สอดคล้องกับการค้นหาของผู้ใช้และการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา Google

On-Page SEO ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งานทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าสนใจและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

องค์ประกอบหลักของ On-Page SEO ประกอบด้วย คีย์เวิร์ด, แท็กหัวเรื่อง (H1, H2, H3), การจัดทำ URL, การเขียนเมตาแท็ก (Meta Title และ Meta Description), การใช้รูปภาพและแท็ก Alt, และการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ

ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์และมีการค้นหาสูง นอกจากนี้ควรใช้คีย์เวิร์ดหลักในตำแหน่งสำคัญ เช่น หัวเรื่อง, เมตาแท็ก, และในเนื้อหา เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น

ควรเขียนเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจสำหรับผู้อ่าน ใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมและไม่มากเกินไป จัดทำโครงสร้างเนื้อหาด้วยหัวเรื่องและหัวข้อย่อยเพื่อให้อ่านง่าย และควรอัปเดตเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ

อ้างอิงจาก

https://backlinko.com/on-page-seo

https://www.semrush.com/blog/on-page-seo

https://www.searchenginejournal.com/on-page-seo

ติดต่อรับทำ SEO กับ OneGo

เพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณด้วยบริการรับทำ SEO คุณภาพและ SEO สายเทา จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ OneGo