Backlink คืออะไร? ทำความเข้าใจวิธีการทำเพื่อนำไปเพิ่มอันดับเว็บไซต์

Blog, SEO

การทำ SEO นั้นมีหลายองค์ประกอบที่สำคัญ หนึ่งในนั้นคือการสร้าง Backlink หรือที่เรียกกันว่า “ลิงก์ย้อนกลับ” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีจาก 206 ปัจจัย SEO ที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา หากคุณยังไม่เข้าใจว่า Backlink คืออะไร และมีวิธีการทำอย่างไรให้ได้ผล ไม่ต้องกังวล บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Backlink ตั้งแต่พื้นฐานจนถึงการประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาอย่างยั่งยืน

Backlink คือ ลิงก์ที่เชื่อมโยงจากเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง ซึ่งเปรียบเสมือนการแนะนำเว็บไซต์อื่นให้กับผู้ใช้งานหรือเครื่องมือค้นหา เมื่อเว็บไซต์ของคุณได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความสำคัญของเว็บไซต์ของคุณในสายตาของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ซึ่งจะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา การสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO เพราะไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์โดยตรง แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถานะออนไลน์ของเว็บไซต์ในระยะยาว

ประเภทของ Backlink สามารถแบ่งออกเป็นหลายประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

  1. Natural Backlinks: เป็นลิงก์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อเว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณโดยไม่ได้รับการร้องขอ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเนื้อหาของคุณมีคุณภาพและมีประโยชน์ ทำให้คนอื่นอยากแชร์และอ้างอิงถึง
  2. Manual Backlinks: เป็นลิงก์ที่คุณสร้างขึ้นเองโดยการขอจากเจ้าของเว็บไซต์อื่นหรือการโพสต์ในฟอรั่ม บล็อก หรือโซเชียลมีเดีย การขอ Guest Post และการแลกลิงก์ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของ Manual Backlink
  3. Self-Created Backlinks: เป็นลิงก์ที่คุณสร้างขึ้นเองในพื้นที่ที่อนุญาตให้เพิ่มลิงก์ได้ เช่น คอมเมนต์บล็อก ฟอรั่ม โปรไฟล์โซเชียลมีเดีย และไดเรกทอรีออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การสร้างลิงก์ประเภทนี้มากเกินไปอาจถูกมองว่าเป็นสแปมและส่งผลเสียต่อ SEO ของคุณ
  4. Editorial Backlinks: เป็นลิงก์ที่เกิดจากการที่เว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเนื้อหาของคุณเนื่องจากเห็นว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าหรือเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของพวกเขา การได้รับ Editorial Backlink มักเป็นสัญญาณที่ดีว่าเนื้อหาของคุณมีคุณภาพ
  5. Guest Post Backlinks: เป็นลิงก์ที่ได้มาจากการเขียนบทความหรือเนื้อหาให้กับเว็บไซต์อื่นและมีการใส่ลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณในบทความนั้น การทำ Guest Post เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง Backlink ที่มีคุณภาพและเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  6. Backlink สายเทา: เป็นลิงก์จากการทำ SEO สายเทา ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ และมีจำนวนค่อนข้างเยอะในเวลาสั้นๆ จึงทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการโดนแบนจาก Google
ประเภทของ Backlink

Dofollow และ Nofollow Backlink เป็นสองประเภทหลักของ Backlink ที่มีบทบาทสำคัญใน SEO Dofollow Backlink เป็นลิงก์ที่ช่วยเพิ่มค่า “link juice” หรือความน่าเชื่อถือจากเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง เมื่อเว็บไซต์ของคุณได้รับ Dofollow Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง จะช่วยเพิ่มอันดับในผลการค้นหา เนื่องจากเครื่องมือค้นหาถือว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการรับรองจากแหล่งที่มีคุณภาพ อย่างไรก็ตาม Nofollow Backlink มีลักษณะตรงกันข้าม คือลิงก์ที่มีการใช้แท็ก rel=”nofollow” ซึ่งจะบอกกับเครื่องมือค้นหาว่าไม่ต้องนำค่า link juice ไปยังเว็บไซต์ที่ลิงก์นั้นชี้ไป การใช้ Nofollow แนะนำให้ใช้กับลิงก์ที่มาจากการแสดงความคิดเห็นของผู้ใช้ การโฆษณา หรือเนื้อหาที่ผู้ดูแลเว็บไซต์ไม่ได้ควบคุมโดยตรง เพื่อป้องกันการสแปมและการเชื่อมโยงที่ไม่พึงประสงค์ แม้ว่า Nofollow Backlink จะไม่เพิ่มค่า link juice แต่ก็ยังมีประโยชน์ในแง่ของการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์และสร้างการรับรู้แบรนด์ ทั้งสองประเภทของ Backlink นี้มีความสำคัญในกลยุทธ์ SEO ที่ดี การมีทั้ง Dofollow และ Nofollow Backlink ช่วยสร้างโปรไฟล์ลิงก์ที่ดูเป็นธรรมชาติและเพิ่มโอกาสในการเพิ่มอันดับในเครื่องมือค้นหา

OneGo SEO -ความสำคัญของ Backlink 14

Backlink มีความสำคัญอย่างมากในกระบวนการทำ SEO และการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google โดยมีเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้:

  1. เพิ่มความน่าเชื่อถือ (Authority): การมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพสูงจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณในสายตาของเครื่องมือค้นหา การที่เว็บไซต์ของคุณได้รับการแนะนำจากเว็บไซต์ที่มีความสำคัญแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าและควรได้รับการจัดอันดับสูงขึ้น
  2. เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ (Traffic): Backlink ช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์โดยตรงจากผู้ใช้งานที่คลิกลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลิงก์นั้นอยู่ในเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมาก การเพิ่มปริมาณการเข้าชมนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับความสนใจมากขึ้น แต่ยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับในระยะยาว
  3. ช่วยในการจัดอันดับ (Ranking): Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ ใช้ Backlink เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ การมี Backlink ที่มีคุณภาพช่วยให้เครื่องมือค้นหามองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่า ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา
  4. เสริมสร้างเนื้อหาและข้อมูล (Content and Information Reinforcement): Backlink จากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมีเนื้อหาคล้ายคลึงกันจะช่วยเสริมสร้างเนื้อหาและข้อมูลของเว็บไซต์คุณ ทำให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและหลากหลายมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีขึ้นในการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ
  5. ส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์ (Relationship Building): การสร้าง Backlink มักต้องผ่านการติดต่อและการร่วมมือกับเว็บไซต์อื่น ซึ่งช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน การมีเครือข่ายที่แข็งแกร่งสามารถช่วยในการทำงานร่วมกันในอนาคตและเปิดโอกาสในการโปรโมทเว็บไซต์ในวิธีอื่น
  6. การจัดทำดัชนีเร็วขึ้น: บอทเครื่องมือค้นหาค้นหาเว็บไซต์และหน้าใหม่ผ่าน Backlink ที่มีอยู่ ช่วยให้เนื้อหาของคุณได้รับการจัดทำดัชนีเร็วขึ้น

เมื่อเว็บไซต์อื่นลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความน่าสนใจพอที่จะให้ผู้อื่นลิงก์มาหา นอกจากนี้ การมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงยังช่วยเพิ่มค่า Domain Authority (DA) และ Page Authority (PA) ของเว็บไซต์คุณด้วย ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่จะติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหามากขึ้น อย่างไรก็ตาม การสร้าง Backlink ควรเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ เนื่องจากการมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่เกี่ยวข้องอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษโดย Google นอกจากนี้ การสร้าง Backlink ที่มีประสิทธิภาพควรเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจ เพื่อให้เว็บไซต์อื่นๆ ต้องการลิงก์กลับมาหาคุณโดยธรรมชาติ

การได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google การได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพไม่เพียงแค่ช่วยเพิ่มค่า Domain Authority (DA) และ Page Authority (PA) ของเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์และการรับรู้แบรนด์อีกด้วย การได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพสามารถทำได้หลายวิธีดังนี้:

  1. การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า: การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดึงดูด Backlink จากเว็บไซต์อื่น เมื่อเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และให้ข้อมูลที่ครบถ้วน ผู้อ่านและเจ้าของเว็บไซต์อื่นๆ จะมีแนวโน้มที่จะลิงก์มายังเนื้อหาของคุณเพื่อเป็นแหล่งอ้างอิง
  2. การเขียนบล็อกและบทความเชิงวิชาการ: การเขียนบล็อกหรือบทความ On-Page SEO ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมหรือธุรกิจของคุณ และเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Medium หรือ LinkedIn สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับ Backlink เมื่อเนื้อหาของคุณถูกแชร์หรืออ้างอิงโดยผู้อ่านและเว็บไซต์อื่น
  3. การทำ Guest Post: การเขียนบทความให้กับเว็บไซต์หรือบล็อกอื่นๆ ที่มีความน่าเชื่อถือในวงการของคุณ นอกจากจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเจ้าของเว็บไซต์นั้นๆ แล้ว ยังเป็นโอกาสที่ดีในการใส่ Backlink กลับมายังเว็บไซต์ของคุณด้วย
  4. การร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์และบล็อกเกอร์: การร่วมงานกับอินฟลูเอนเซอร์หรือบล็อกเกอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และขอให้พวกเขารีวิวหรือแนะนำเว็บไซต์หรือผลิตภัณฑ์ของคุณ เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพและเพิ่มการรับรู้แบรนด์
  5. การใช้เครื่องมือและแหล่งข้อมูลที่มีประโยชน์: การสร้างเครื่องมือออนไลน์หรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้งาน เช่น เครื่องมือคำนวณ ตัวช่วยในการวางแผน หรือฐานข้อมูลที่ครอบคลุม สามารถดึงดูดเว็บไซต์อื่นๆ ให้ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ
กลยุทธ์การสร้างลิงก์ (Link Building Strategy)

กลยุทธ์การสร้างลิงก์ (Link Building Strategy)

การสร้างลิงก์เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการมองเห็นของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถสร้างกลยุทธ์การสร้างลิงก์ที่มีประสิทธิภาพ:

  1. วิเคราะห์โปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์: เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยงมาที่เว็บไซต์ของคุณอยู่แล้ว โดยใช้เครื่องมือเช่น Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อทำความเข้าใจถึงคุณภาพและจำนวนของลิงก์ที่มีอยู่
  2. กำหนดเป้าหมาย: เลือกเป้าหมายที่ต้องการ เช่น การเพิ่ม DA (Domain Authority), การเพิ่มปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์, หรือการปรับปรุงการจัดอันดับใน SERPs (Search Engine Results Pages)
  3. ค้นหาลิงก์ที่มีคุณภาพ: ค้นหาเว็บไซต์ที่มี DA สูงและมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมของคุณ ทำการรวบรวมรายการของเว็บไซต์เหล่านี้และจัดลำดับความสำคัญตามความน่าเชื่อถือ
  4. สร้างเนื้อหาคุณภาพ: สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่าน เช่น บทความวิจัย, บทความที่มีการวิเคราะห์เชิงลึก, หรือข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ เนื้อหาที่ดีจะช่วยดึงดูดเว็บไซต์อื่นให้ลิงก์มาหาคุณเอง
  5. ติดต่อเว็บไซต์: ส่งอีเมลถึงเจ้าของเว็บไซต์ที่คุณต้องการให้ลิงก์มาหา โดยนำเสนอเนื้อหาที่คุณคิดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านของพวกเขา อย่าลืมที่จะเขียนอีเมลอย่างสุภาพและเป็นมิตร
  6. ติดตามผล: หลังจากส่งอีเมลไปแล้ว ให้ทำการติดตามผลในระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อดูว่ามีเว็บไซต์ไหนที่ตอบรับหรือสนใจที่จะลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ
  7. ประเมินและปรับปรุง: ติดตามและประเมินผลของกลยุทธ์การสร้างลิงก์ของคุณอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงวิธีการตามผลที่ได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การวิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink (Backlink Profile Analysis)

การวิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink เป็นขั้นตอนสำคัญในการประเมินคุณภาพและผลกระทบของลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสามารถทำการวิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink อย่างมีประสิทธิภาพ:

  1. เลือกเครื่องมือวิเคราะห์ Backlink: ใช้เครื่องมือเช่น Ahrefs, Moz, SEMrush หรือ Majestic เพื่อทำการวิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink ของเว็บไซต์ เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยคุณในการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ
  2. รวบรวมข้อมูล: เริ่มต้นด้วยการดึงข้อมูล Backlink ทั้งหมดที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณจากเครื่องมือที่คุณเลือก ข้อมูลที่สำคัญได้แก่ URL ของลิงก์, แหล่งที่มา, ค่า DA (Domain Authority), ค่า PA (Page Authority) และจำนวนลิงก์ที่ออกจากเว็บไซต์นั้น
  3. ประเมินคุณภาพของลิงก์: ตรวจสอบคุณภาพของลิงก์โดยดูที่ DA และ PA ของเว็บไซต์ที่ลิงก์มายังคุณ ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีค่า DA และ PA สูงจะมีประสิทธิภาพมากกว่าในการช่วยเพิ่มอันดับของคุณในเครื่องมือค้นหา
  4. ระบุลิงก์ที่เป็นสแปมหรือมีคุณภาพต่ำ: ค้นหาลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีค่า DA ต่ำ หรือเว็บไซต์ที่ดูไม่น่าเชื่อถือ อาจรวมถึงเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ หรือลิงก์ที่ดูเหมือนเป็นสแปม
  5. กำจัดลิงก์ที่ไม่ต้องการ: สำหรับลิงก์ที่เป็นสแปมหรือมีคุณภาพต่ำ คุณสามารถใช้เครื่องมือ Disavow Links ของ Google Search Console เพื่อปฏิเสธลิงก์เหล่านั้น เพื่อป้องกันไม่ให้ลิงก์เหล่านั้นมีผลกระทบต่ออันดับของเว็บไซต์คุณ
  6. วิเคราะห์ Anchor Text: ตรวจสอบว่า Anchor Text ที่ใช้ในการลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณมีความหลากหลายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณหรือไม่ Anchor Text ที่เป็นคำหลักของคุณจะช่วยเพิ่ม SEO ได้
  7. ติดตามการเปลี่ยนแปลง: ทำการติดตามและอัปเดตการวิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink ของคุณอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูผลกระทบของลิงก์ใหม่และการเปลี่ยนแปลงในโปรไฟล์ Backlink ของคุณ
  8. สรุปผลและปรับปรุงกลยุทธ์: นำข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์มาสรุปผล และใช้เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การสร้างลิงก์ของคุณในอนาคต เช่น การมุ่งเน้นการได้ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงขึ้นหรือการหลีกเลี่ยงเว็บไซต์ที่อาจเป็นสแปม

การวิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink อย่างละเอียดและสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณสามารถควบคุมและปรับปรุงคุณภาพของลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ ทำให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหาและเพิ่มปริมาณการเข้าชมที่มีคุณภาพ.

เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ Backlink (Backlink Analysis Tools)

เครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ Backlink (Backlink Analysis Tools)

การวิเคราะห์โปรไฟล์ Backlink เป็นกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบและปรับปรุงกลยุทธ์การสร้างลิงก์ของคุณด้วยเครื่องมือที่เหมาะสมและยังช่วยให้คุณแก้ปัญหา Technical SEO ได้อีกด้วย คุณจะสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือบางเครื่องมือที่นิยมใช้ในการวิเคราะห์ Backlink:

  1. Ahrefs:
    • ความสามารถ: Ahrefs เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการวิเคราะห์ Backlink โดยเฉพาะ มันสามารถตรวจสอบโปรไฟล์ลิงก์ของคุณได้อย่างละเอียด และมีฟังก์ชัน Site Explorer ที่ช่วยให้คุณเห็นลิงก์ทั้งหมดที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ นอกจากนี้ยังมีการวิเคราะห์ Anchor Text, ติดตามลิงก์ที่หายไป, และประเมินคุณภาพของลิงก์ด้วยค่า DR (Domain Rating) และ UR (URL Rating)
    • ข้อดี: มีฐานข้อมูลขนาดใหญ่และอัปเดตบ่อย มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลาย
  2. Moz Link Explorer:
    • ความสามารถ: Moz Link Explorer เป็นเครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโปรไฟล์ Backlink ของคุณ รวมถึงการวิเคราะห์ค่า DA (Domain Authority) และ PA (Page Authority) ของเว็บไซต์ที่ลิงก์มายังคุณ นอกจากนี้ยังมีการตรวจสอบ Anchor Text และการติดตามการเปลี่ยนแปลงของลิงก์
    • ข้อดี: ใช้งานง่ายและมีอินเตอร์เฟซที่เข้าใจง่าย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและผู้มีประสบการณ์
  3. SEMrush:
    • ความสามารถ: SEMrush เป็นเครื่องมือที่ครอบคลุมสำหรับการวิเคราะห์ SEO ซึ่งรวมถึงการวิเคราะห์ Backlink ด้วย คุณสามารถใช้ SEMrush เพื่อดูโปรไฟล์ลิงก์ของคุณ ตรวจสอบลิงก์ที่มีคุณภาพสูงและต่ำ และวิเคราะห์ Anchor Text นอกจากนี้ยังมีการเปรียบเทียบโปรไฟล์ลิงก์ของคุณกับคู่แข่ง
    • ข้อดี: มีฟังก์ชันการใช้งานที่หลากหลายและครอบคลุมทุกด้านของ SEO
  4. Majestic:
    • ความสามารถ: Majestic เน้นการวิเคราะห์ Backlink เป็นหลัก มีการใช้ค่า TF (Trust Flow) และ CF (Citation Flow) เพื่อประเมินคุณภาพของลิงก์ นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ Site Explorer ที่ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของโปรไฟล์ลิงก์ของคุณ
    • ข้อดี: มีระบบการประเมินคุณภาพลิงก์ที่เป็นเอกลักษณ์และมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่
  5. Google Search Console:
    • ความสามารถ: Google Search Console เป็นเครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้คุณตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถดูรายงานเกี่ยวกับลิงก์ภายนอกและลิงก์ภายใน รวมถึงการใช้เครื่องมือ Disavow Links เพื่อปฏิเสธลิงก์ที่ไม่ต้องการ
    • ข้อดี: ฟรีและให้ข้อมูลโดยตรงจาก Google เหมาะสำหรับการตรวจสอบพื้นฐาน

การสร้างลิงก์ด้วยวิธีอื่นๆ

การสร้างลิงก์เป็นขั้นตอนสำคัญในการปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มการมองเห็นและความน่าเชื่อถือในเครื่องมือค้นหา มีหลายวิธีในการสร้างลิงก์ที่คุณสามารถใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของโปรไฟล์ลิงก์ของคุณ:

  1. Blog Directories: การส่งบล็อกของคุณไปยังไดเรกทอรีบล็อกต่างๆ ช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการเข้าชมจากผู้อ่านใหม่ๆ และสร้างลิงก์ย้อนกลับ (backlink) ที่มีคุณภาพ วิธีนี้มักจะเหมาะสำหรับบล็อกที่เน้นเนื้อหาเฉพาะทางหรือมีการอัพเดทบ่อยครั้ง ลองอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: Local SEO
  2. Forum Signatures: การเข้าร่วมฟอรั่มออนไลน์และใช้ลายเซ็นต์ที่มีลิงก์กลับไปยังเว็บไซต์ของคุณเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยสร้างลิงก์ อย่างไรก็ตาม ควรเลือกฟอรั่มที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ และไม่สแปม เพื่อให้ลิงก์ที่ได้รับมีคุณภาพและไม่นำไปสู่การถูกแบน
  3. Comment Links: การแสดงความคิดเห็นบนบล็อกหรือบทความที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณสามารถสร้างลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ได้ ควรเขียนความคิดเห็นที่มีคุณภาพและมีประโยชน์ต่อผู้อ่าน เพื่อให้ความคิดเห็นของคุณได้รับการยอมรับและสร้างความน่าเชื่อถือ
  4. Article Directories: การเขียนและส่งบทความไปยังไดเรกทอรีบทความ (Article Directories) ช่วยให้เนื้อหาของคุณถูกเผยแพร่ไปยังผู้ชมที่กว้างขึ้น และสร้างลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ ควรเลือกไดเรกทอรีที่มีชื่อเสียงและมีการจัดการที่ดี
  5. Shared Content Directories: การเผยแพร่เนื้อหาในไดเรกทอรีแชร์คอนเทนต์ เช่น SlideShare หรือ Scribd ช่วยให้คุณสามารถแชร์เนื้อหาที่มีคุณค่าในรูปแบบต่างๆ และสร้างลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณได้
  6. Link Exchange Schemes: การแลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นอีกวิธีหนึ่งในการสร้างลิงก์ แต่ควรระมัดระวังในการเลือกเว็บไซต์ที่คุณแลกเปลี่ยนลิงก์ด้วย เพื่อให้ลิงก์ที่ได้มีคุณภาพและไม่ถูกมองว่าเป็นสแปม
วิธีการล้างโปรไฟล์ลิงก์ของคุณ

วิธีการล้างโปรไฟล์ลิงก์ของคุณ

ในหัวข้อนี้ คุณจะได้เรียนรู้วิธีทำความสะอาดโปรไฟล์ลิงก์ของคุณโดยการลบลิงก์ที่ไม่ดีที่ชี้มายังเว็บไซต์ของคุณ มีบางกรณีที่คุณอาจต้องการลบลิงก์ที่ไม่ดีออกจาก Google อาจเป็นเพราะคุณซื้อขายลิงก์จากบริษัท SEO ที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือเข้าร่วมในโครงการแลกเปลี่ยนลิงก์ หรือเพราะคุณทำผิดพลาดโดยการสร้างลิงก์คุณภาพต่ำที่ไม่เป็นธรรมชาติไปยังเว็บไซต์ของคุณ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม Google จะลงโทษคุณเพราะการสร้างลิงก์เป็นการละเมิดแนวทางปฏิบัติของ Google Webmaster

Google ลงโทษเว็บไซต์อย่างไร?

การพยายามที่จะปรับ PageRank แบบไม่เป็นธรรมชาติถือว่าเป็นการละเมิดแนวทางปฏิบัติของ Google

Google มีระบบที่ซับซ้อนที่สามารถแยกแยะระหว่างลิงก์ธรรมชาติและลิงก์ที่สร้างขึ้นมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติเพื่อวัตถุประสงค์เดียวคือการเพิ่ม PageRank ของเว็บไซต์ ตัวอย่างบางประการคือ:

  • การซื้อลิงก์จากไดเรกทอรีลิงก์หรือบล็อกต่างๆ
  • การขายลิงก์
  • การเข้าร่วมในโครงการแลกเปลี่ยนลิงก์ (ฉันลิงก์ไปยังเว็บไซต์ของคุณ และคุณลิงก์มายังของฉัน)
  • การโพสต์บทความโดยใช้ลิงก์ Anchor Text ที่มีคีย์เวิร์ดหนาแน่น
  • การสร้างลิงก์จำนวนมาก (ใช้โปรแกรมอัตโนมัติในการสร้างลิงก์ – มักจะอยู่ในความคิดเห็นของเว็บไซต์)

วิธีการค้นหาลิงก์ที่ไม่ดี

การค้นหาลิงก์ที่ไม่ดี (bad backlinks) เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำความสะอาดโปรไฟล์ลิงก์ของคุณและป้องกันการลงโทษจาก Google ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำตามได้เพื่อค้นหาลิงก์ที่ไม่ดี:

  1. ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ลิงก์ (Backlink Analysis Tools):
    • Ahrefs: ช่วยให้คุณสามารถดูโปรไฟล์ลิงก์ทั้งหมดของเว็บไซต์คุณและสามารถตรวจสอบคุณภาพของลิงก์ได้
    • Moz Link Explorer: ช่วยตรวจสอบลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ พร้อมกับค่า DA (Domain Authority) และ PA (Page Authority)
    • SEMrush: มีฟังก์ชันสำหรับการวิเคราะห์ลิงก์และสามารถตรวจสอบลิงก์ที่เป็นสแปมหรือมีคุณภาพต่ำได้
    • Majestic: ใช้ค่า TF (Trust Flow) และ CF (Citation Flow) เพื่อประเมินคุณภาพของลิงก์
  2. รวบรวมและตรวจสอบลิงก์ทั้งหมด:
    • ดึงข้อมูลลิงก์ทั้งหมดที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณจากเครื่องมือวิเคราะห์ที่คุณเลือก
    • ตรวจสอบค่า DA และ PA ของเว็บไซต์ที่ลิงก์มายังคุณ ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีค่า DA และ PA ต่ำมักจะเป็นสัญญาณของลิงก์ที่ไม่ดี
  3. ระบุลิงก์ที่ไม่ธรรมชาติ:
    • ลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
    • ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาน้อยหรือไม่มีเนื้อหา (thin content)
    • ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีประวัติการถูกแบนหรือมีการทำสแปมมาก่อน
    • ลิงก์ที่มาจากฟอรั่มหรือบล็อกที่ดูเหมือนเป็นสแปม
  4. วิเคราะห์ Anchor Text:
    • ตรวจสอบว่า Anchor Text ที่ใช้ในลิงก์มีการใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือไม่
    • ลิงก์ที่มี Anchor Text ที่เหมือนกันมากเกินไปอาจเป็นสัญญาณของการสร้างลิงก์ที่ไม่ดี
  5. ตรวจสอบลิงก์ที่ซื้อมาหรือแลกเปลี่ยน:
    • ลิงก์ที่ซื้อมาจากไดเรกทอรีลิงก์หรือเว็บไซต์ที่ขายลิงก์
    • ลิงก์ที่ได้มาจากการแลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บไซต์อื่น
  6. ใช้ Google Search Console:
    • ใช้ Google Search Console เพื่อตรวจสอบลิงก์ที่ชี้มายังเว็บไซต์ของคุณ
    • ตรวจสอบรายงาน “Links” ใน Google Search Console เพื่อดูข้อมูลเกี่ยวกับลิงก์ที่เป็นอันตรายหรือไม่เป็นธรรมชาติ
  7. ใช้เครื่องมือ Disavow Links:
    • หากพบลิงก์ที่ไม่ดี ใช้เครื่องมือ Disavow Links ของ Google เพื่อปฏิเสธลิงก์เหล่านั้น
    • อัปโหลดไฟล์ที่มีรายการลิงก์ที่คุณต้องการปฏิเสธไปยัง Google Search Console
Backlink คืออะไร
เข้าใจสิ่งที่เราต้องการบรรลุด้วย Off-Page SEO
เข้าใจความแตกต่างระหว่างลิงก์ที่ดีและลิงก์ที่ไม่ดี
เข้าใจความแตกต่างระหว่างลิงก์แบบ follow และ nofollow
สร้างรายการเว็บไซต์ที่คุณอาจจะได้รับลิงก์
เรียนรู้วิธีการเริ่มต้นการสร้างลิงก์สำหรับเว็บไซต์ใหม่
เข้าใจวิธีการใช้โซเชียลมีเดียเพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างลิงก์
เข้าใจวิธีการส่งอีเมลถึงบล็อกเกอร์คนอื่น ๆ เพื่อขอลิงก์
พยายามให้แบรนด์ของคุณได้รับการกล่าวถึงจากเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ
พยายามได้รับลิงก์จากเว็บไซต์ระดับพรีเมียม
ตรวจสอบโปรไฟล์ลิงก์ของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อตรวจหาลิงก์ที่ไม่ดี
ใช้เครื่องมือ Google Disavow (เมื่อจำเป็น) เพื่อกำจัดลิงก์ที่ไม่ดีออกจากโปรไฟล์ลิงก์ของคุณ

คำถามที่พบบ่อย

1. Backlink คืออะไร? Backlink คือการเชื่อมโยงระหว่างเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง มักจะถูกเรียกว่า “ลิงก์ขาเข้า” (inbound link) หรือ “ลิงก์ย้อนกลับ” (incoming link) Backlink ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา

2. Backlink มีผลต่อ SEO อย่างไร? Backlink เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่เครื่องมือค้นหาใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณและช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา

3. ควรได้รับ Backlink จากที่ไหน? ควรพยายามได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์คุณ เช่น บล็อกที่มีชื่อเสียง เว็บไซต์ข่าว หรือเว็บไซต์ขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

4. Backlink ที่มีคุณภาพคืออะไร? Backlink ที่มีคุณภาพคือ Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของคุณ และมีการใช้ Anchor Text ที่เหมาะสม การมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีอัตราการเข้าชมสูงและมีความน่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มคุณภาพของ Backlink

5. ควรหลีกเลี่ยงการทำ Backlink อย่างไร? ควรหลีกเลี่ยงการซื้อ Backlink การใช้บริการที่สร้าง Backlink อัตโนมัติ หรือการเข้าร่วมในโครงสร้างลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ เพราะอาจนำไปสู่การถูกลงโทษจากเครื่องมือค้นหา ควรใช้วิธีการที่ถูกต้องและสร้าง Backlink อย่างเป็นธรรมชาติ

6. มีเครื่องมือใดที่ช่วยในการตรวจสอบ Backlink บ้าง? มีเครื่องมือหลายอย่างที่สามารถใช้ตรวจสอบ Backlink ได้ เช่น Ahrefs, Moz, SEMrush, และ Google Search Console ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้คุณตรวจสอบ Backlink ที่เว็บไซต์ของคุณได้รับและวิเคราะห์คุณภาพของ Backlink ได้

7. การสร้างเนื้อหาแบบไหนที่ดึงดูด Backlink? เนื้อหาที่มีคุณภาพสูง เป็นประโยชน์ และมีความเกี่ยวข้องมักจะดึงดูด Backlink ได้ดี เนื้อหาประเภทคู่มือ สารคดี บทวิเคราะห์เชิงลึก และข้อมูลที่เป็นเอกลักษณ์มักจะได้รับการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์อื่นๆ

8. ทำไมการมี Backlink ที่หลากหลายจึงสำคัญ? การมี Backlink ที่หลากหลายจากแหล่งที่แตกต่างกันช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความหลากหลายของโปรไฟล์ลิงก์ของคุณ ซึ่งเป็นสัญญาณบอกถึงความเป็นธรรมชาติและคุณภาพของเว็บไซต์ของคุณในสายตาของเครื่องมือค้นหา

9. ใช้เวลานานเท่าไหร่กว่าจะเห็นผลจาก Backlink? การเห็นผลจาก Backlink อาจใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่สัปดาห์ถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับคุณภาพและปริมาณของ Backlink รวมถึงการอัปเดตของเครื่องมือค้นหา ควรมีความอดทนและสร้าง Backlink อย่างสม่ำเสมอ

10. การตรวจสอบ Backlink คู่แข่งมีประโยชน์อย่างไร? การตรวจสอบ Backlink ของคู่แข่งช่วยให้คุณเข้าใจว่าเว็บไซต์ของคู่แข่งได้รับ Backlink จากที่ไหน และสามารถนำมาปรับใช้กับกลยุทธ์ Backlink ของคุณได้ การรู้จักแหล่งที่มาของ Backlink ของคู่แข่งช่วยให้คุณสามารถหาช่องทางใหม่ๆ ในการได้รับ Backlink ที่มีคุณภาพได้

บทสรุป

สรุปได้ว่า Backlink มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในโลกของ SEO โดยช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์ของคุณในเครื่องมือค้นหา การได้รับ Backlink คุณภาพสูงจากแหล่งที่น่าเชื่อถือไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้เป็นที่ไว้วางใจในวงการของคุณอีกด้วย จำไว้ว่ากุญแจสู่กลยุทธ์ Backlink ที่ประสบความสำเร็จคือความสม่ำเสมอ คุณภาพมากกว่าปริมาณ และการปฏิบัติอย่างถูกต้อง หลีกเลี่ยงการใช้ทางลัดเช่นการซื้อ Backlink หรือการเข้าร่วมในโครงสร้างลิงก์ เนื่องจากอาจนำไปสู่การถูกลงโทษจากเครื่องมือค้นหาได้ ให้มุ่งเน้นที่การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและสามารถดึงดูด Backlink ได้อย่างธรรมชาติ สร้างความสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลในวงการ และใช้โอกาสในการเขียนบทความสำหรับเว็บไซต์อื่น ๆ ด้วยการนำกลยุทธ์เหล่านี้มาใช้ คุณจะสามารถก้าวสู่ความสำเร็จใน SEO อย่างยั่งยืนและเพิ่มการมองเห็นออนไลน์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงวิธีการของคุณอย่างต่อเนื่อง ติดตามแนวโน้ม SEO ล่าสุด และชมเว็บไซต์ของคุณก้าวขึ้นสู่อันดับที่สูงขึ้นในเครื่องมือค้นหา

อ้างอิงจาก

https://mailchimp.com/marketing-glossary/backlinks

https://backlinko.com/hub/seo/backlinks

ติดต่อรับทำ SEO กับ OneGo

เพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณด้วยบริการรับทำ SEO คุณภาพและ SEO สายเทา จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ OneGo