206 ปัจจัย SEO ทำเว็บติดอันดับ Google ฉบับสมบูรณ์ อัพเดตปี 2024

Blog, Marketing, SEO

บทความนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในวิธีการทำ SEO ของคุณอย่างมหาศาล! หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยสงสัยว่าทำไมบางเว็บไซต์ถึงสามารถติดอันดับบน Google ได้ง่ายดาย ในขณะที่บางเว็บไซต์กลับล้มเหลว มาเรียนรู้ 200 ปัจจัย SEO ที่สำคัญและครอบคลุมทุกด้าน ตั้งแต่การวิเคราะห์คำหลัก การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ไปจนถึงเทคนิคการสร้างลิงก์ที่มีประสิทธิภาพ ใน คู่มือฉบับสมบูรณ์ นี้ คุณจะได้พบกับเคล็ดลับและกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงสุดบน Google และดึงดูดผู้เข้าชมมากยิ่งขึ้น

ปัจจัยหลัก 8 ข้อที่สำคัญที่สุด

จาก 200+ ปัจจัย เราได้เลือกคัดกรอง 8 ข้อที่คุณควรให้ความสำคัญมากที่สุดในการทำ SEO มาตรงนี้แล้ว1

ปัจจัยหลัก 8 ข้อที่สำคัญที่สุด
  1. เนื้อหาคุณภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดอันดับของ Google เนื้อหาที่ดีต้องมีความเกี่ยวข้อง ตรงกับคำค้นหา ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และมีการจัดโครงสร้างที่ดี ทำให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่พอใจและไหลลื่น อยากกลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์อีกครั้ง
  2. แบ็คลิงก์ ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ ทำให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและควรจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา
  3. Technical SEO การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ เช่น ความเร็วในการโหลด ความใช้ง่ายบนมือถือ ตามหลัก Mobile SEO และการจัดการไฟล์โรบอทส์ ช่วยให้ Google สามารถจัดทำดัชนีและนำเสนอเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. การปรับแต่งคำหลัก (Keyword Optimization) การใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องและตรงกับเนื้อหาช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้เข้าชมที่มีคุณภาพ
  5. User Experience (UX) ประสบการณ์ผู้ใช้ก็มีส่วนสำคัญเช่นกัน เว็บไซต์ที่มีการออกแบบใช้งานง่าย โหลดเร็ว และมีเนื้อหาที่มีประโยชน์จะได้รับการจัดอันดับสูงขึ้น เนื่องจากให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ผู้ใช้งาน
  6. Schema Markup ช่วยให้เครื่องมือค้นหาทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเนื้อหาของเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสในการปรากฏในรูปแบบของ Rich Snippets และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโดดเด่นมากขึ้นในผลการค้นหา
  7. Social Signals การแชร์ กดไลค์ และแสดงความคิดเห็นบนโซเชียลมีเดียช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความนิยมของเว็บไซต์ ทำให้มีโอกาสได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา
  8. Brand Signals การกล่าวถึงแบรนด์ของคุณในเว็บไซต์ต่างๆ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในสายตาของ Google

สำหรับคนที่ยังไม่เข้าใจว่า SEO คืออะไร? ลองอ่านบทความนี้ก่อนได้เลย:

ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโดเมน

  1. อายุโดเมน โดเมนที่มีอายุยาวนานมักจะได้รับความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือมากกว่า
  2. การมีคีย์เวิร์ดในโดเมนระดับสูง (Top Level Domain – TLD) การมีคีย์เวิร์ดในโดเมนช่วยเพิ่มความชัดเจนและน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้งานเห็นคีย์เวิร์ดใน URL ของเว็บไซต์ จะมีแนวโน้มที่จะคลิกเข้ามาดูเนื้อหามากขึ้น
  3. ระยะเวลาการจดทะเบียนโดเมน (Domain Registration Length) โดเมนที่จดทะเบียนระยะยาวแสดงถึงความตั้งใจของเจ้าของเว็บไซต์ที่จะทำธุรกิจหรือบริการในระยะยาว ซึ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ในสายตาของผู้ใช้งานและ Google คุณสามารอ่านเพิ่มเติมได้ที่: SearchEngineJournal
  4. การมีคีย์เวิร์ดในซับโดเมน (Keyword in Subdomain) ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและหัวข้อของเว็บไซต์ได้ชัดเจนขึ้น และยังช่วยให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความต้องการของพวกเขา ทำให้มีแนวโน้มที่จะคลิกเข้ามาชมเนื้อหามากขึ้น คุณสามารอ่านเพิ่มเติมได้ที่: alliai.com
  5. ประวัติของโดเมน (Domain History) หมายถึงการบันทึกเหตุการณ์และการใช้งานของโดเมนตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกจดทะเบียนจนถึงปัจจุบัน โดเมนที่มีประวัติดีและไม่มีปัญหามาก่อน เช่น การไม่เคยถูกลงโทษหรือถูกแบนจาก Google มีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น ดูได้จากวิดิโอของ Google Search Central
  6. โดเมนที่ตรงกับคำค้นหาแบบเป๊ะ (Exact Match Domain – EMD) หมายถึงโดเมนที่มีคำค้นหาที่ผู้ใช้งานค้นหาอยู่ในชื่อโดเมน เช่น หากคีย์เวิร์ดคือ “ซื้อรองเท้าออนไลน์” โดเมน “ซื้อรองเท้าออนไลน์.com” จะถือว่าเป็น EMD การมีคีย์เวิร์ดที่ตรงกับคำค้นหาในชื่อโดเมนช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับคำค้นหานั้นๆ ในสายตาของผู้ใช้งานเนื้อหาที่ซ่อนอยู่บนมือถือ
  7. การแสดงข้อมูล WhoIs สาธารณะ (Public WhoIs) และส่วนตัว (Private WhoIs) เช่น ชื่อ ที่อยู่ และข้อมูลการติดต่อ การปรับตั้งเป็นแบบสาธารณะสามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสให้กับเว็บไซต์ ผู้ใช้งานและ Google สามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าของโดเมนได้อย่างง่ายดาย
  8. เจ้าของโดเมนที่เคยถูกลงโทษ (Penalized WhoIs Owner) หมายถึงบุคคลหรือองค์กรที่เคยถูกใช้มาตรการลงโทษต่อเว็บไซต์ในเครือข่ายของตน เนื่องจากการละเมิดนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติของ Google หากเจ้าของโดเมนมีประวัติการถูกลงโทษ Google อาจมองว่าเว็บไซต์ใหม่หรือโดเมนใหม่ที่อยู่ภายใต้เจ้าของเดียวกันมีความเสี่ยงที่จะละเมิดนโยบายอีก ซึ่งอาจส่งผลให้เว็บไซต์นั้นไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดี
  9. นามสกุลโดเมนระดับประเทศ (Country Code Top-Level Domain – ccTLD) หมายถึงโดเมนที่มีนามสกุลตามรหัสประเทศ เช่น .th สำหรับประเทศไทย, .uk สำหรับสหราชอาณาจักร, หรือ .jp สำหรับประเทศญี่ปุ่น การใช้ ccTLD สามารถส่งผลดีต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาโดยเฉพาะในระดับประเทศ การใช้ ccTLD ช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์นั้นๆ มุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในประเทศใด ซึ่งสามารถเพิ่มความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์ในผลการค้นหาภายในประเทศนั้นๆ และยังทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นๆ มีความเกี่ยวข้องและให้บริการในประเทศของตน
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับโดเมน

ปัจจัยเกี่ยวกับหน้าเพจเว็บไซต์ (On-Page SEO)

  • 10. การมีคีย์เวิร์ดในแท็กไตเติล (Keyword in Title Tag) แท็กไตเติลเป็นส่วนหนึ่งของโค้ด HTML ที่บอกชื่อของหน้าเว็บ ซึ่งจะแสดงในผลการค้นหาและบนแท็บของเบราว์เซอร์ การใช้คีย์เวิร์ดในแท็กไตเติลอย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องและการคลิกจากผู้ใช้งานได้
  • 11. การเริ่มแท็กไตเติลด้วยคีย์เวิร์ด (Title Tag Starts with Keyword) การวางคีย์เวิร์ดไว้ในตำแหน่งที่เด่นชัดเช่นตอนต้นของแท็กไตเติลสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานและเครื่องมือค้นหาสังเกตเห็นคีย์เวิร์ดได้ง่ายขึ้น
  • 12. การมีคีย์เวิร์ดในแท็กคำอธิบาย (Description Tag) แท็กคำอธิบายเป็นข้อความที่แสดงใต้ลิงก์ของหน้าเว็บในผลการค้นหา ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้ใช้งานให้คลิกเข้ามาชมเนื้อหา หากมีคีย์เวิร์ดอยู่ด้วยจะช่วยให้เพิ่ม CTR ได้อย่างดี
  • 13. การมีคีย์เวิร์ดในแท็ก H1 (Keyword Appears in H1 Tag) แท็ก H1 มักจะเป็นหัวเรื่องหลักของหน้าเว็บ ซึ่งบอกถึงหัวข้อหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้นๆ แท็ก H1 ที่มีคีย์เวิร์ดช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจได้ทันทีว่าเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นเกี่ยวกับอะไร และมีแนวโน้มที่จะตรงกับความต้องการของพวกเขา
  • 14. TF-IDF (Term Frequency-Inverse Document Frequency) เป็นวิธีการคำนวณความสำคัญของคำแต่ละคำในเอกสารหนึ่ง ๆ เทียบกับชุดเอกสารทั้งหมด โดยใช้เพื่อวิเคราะห์ความถี่ของคำและช่วยให้เข้าใจว่าแต่ละคำมีความสำคัญอย่างไรในเนื้อหาของหน้าเว็บ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในกระบวนการทำ SEO เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องและคุณภาพของเนื้อหา TF-IDF ช่วยให้คุณสามารถระบุคำสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาและควรปรับปรุงให้ตรงกับคำค้นหาที่ผู้ใช้งานใช้บ่อย
  • 15. ความยาวของเนื้อหา (Content Length) การมีเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความยาวเหมาะสมสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น เนื้อหาที่ยาวและมีรายละเอียดสามารถให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้งานได้ดีกว่าเนื้อหาที่สั้นเกินไป ซึ่งส่วนมากจะมีความยาว 1000 คำขึ้นไป
  • 16. สารบัญ (Table of Contents) การใช้สารบัญในบทความหรือหน้าเว็บไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น สารบัญช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถนำทางไปยังส่วนต่างๆ ของเนื้อหาได้อย่างรวดเร็ว ทำให้การอ่านและการค้นหาข้อมูลในหน้าเว็บเป็นไปอย่างสะดวกและไม่ยุ่งยาก
  • 17. คีย์เวิร์ด Latent Semantic Indexing (LSI Keywords) หมายถึงคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องและมีความหมายใกล้เคียงกับคีย์เวิร์ดหลักของคุณ การใช้คีย์เวิร์ด LSI ช่วยให้เนื้อหามีความหลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น ทำให้ Google มองว่าเนื้อหานั้นมีความเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักและคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง
  • 18. คีย์เวิร์ด LSI ในแท็กไตเติลและแท็กคำอธิบาย ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาได้ในมุมมองที่กว้างขึ้นและช่วยให้เนื้อหาสอดคล้องกับคำค้นหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
  • 19. การครอบคลุมหัวข้ออย่างละเอียดในหน้าเว็บ (Page Covers Topic In-Depth) การเขียนเนื้อหาที่ครอบคลุมและละเอียดช่วยแสดงให้เห็นถึงความรู้และความเชี่ยวชาญในหัวข้อนั้นๆ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 20. การใช้ AMP (Accelerated Mobile Pages) ที่ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงความเร็วในการโหลดและประสิทธิภาพของหน้าเว็บบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ โดยการใช้ AMP เว็บไซต์สามารถให้ประสบการณ์การใช้งานที่รวดเร็วและราบรื่นมากขึ้น ส่งผลให้เป็นการเพิ่มประสบการณ์ที่ดีขึ้นแก่ผู้ใช้งาน
  • 21. การจับคู่เอนทิตี (Entity Match) Google พยายามเข้าใจและเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับบุคคล สถานที่ สิ่งของ หรือแนวคิดต่างๆ ที่ปรากฏในเนื้อหาของหน้าเว็บ การทำให้เอนทิตีในเนื้อหาตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานกำลังค้นหาสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้น
  • 22. Google Hummingbird เป็นอัลกอริธึมที่เปิดตัวโดย Google ในปี 2013 เพื่อปรับปรุงความสามารถในการตีความและเข้าใจความหมายของคำค้นหา โดยเฉพาะการค้นหาที่เป็นรูปประโยคหรือคำถามที่ซับซ้อน Hummingbird ช่วยให้ Google สามารถให้ผลการค้นหาที่แม่นยำและเกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเน้นไปที่ความหมายและบริบทของคำค้นหา ไม่ใช่แค่คำค้นหาแบบตรงตัว
  • 23. เนื้อหาซ้ำซ้อน (Duplicate Content) หมายถึงการที่มีเนื้อหาเดียวกันหรือคล้ายกันมากปรากฏอยู่ในหลายๆ หน้าเว็บภายในเว็บไซต์เดียวกันหรือในหลายเว็บไซต์ เมื่อ Google พบเนื้อหาซ้ำซ้อน จะไม่สามารถตัดสินได้ว่าหน้าไหนควรจะได้รับการจัดอันดับสูงสุด ซึ่งอาจส่งผลให้ทุกหน้าที่มีเนื้อหาซ้ำกันถูกลดอันดับ
  • 24. แท็ก rel=canonical ในกรณีที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อนหรือคล้ายกันหลายหน้า การใช้แท็กนี้ช่วยให้ Google รู้ว่า URL ใดควรถูกพิจารณาเป็นเวอร์ชันหลักและใช้ในการจัดอันดับ การใช้แท็ก rel=canonical ช่วยรวมพลังของลิงก์ทั้งหมดมายังหน้าเว็บหลัก ทำให้พลังของลิงก์ไม่ถูกกระจายไปยังหลายๆ หน้า
  • 25. การปรับแต่งภาพ (Image Optimization) การปรับแต่งภาพช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและการใช้ภาพที่เหมาะสมและมีการปรับแต่งอย่างถูกต้องสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น
  • 26. ความใหม่ของเนื้อหา (Content Recency) เนื้อหาที่มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอและมีความใหม่มักจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลที่ทันสมัยและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
  • 27. ขนาดของการอัปเดตเนื้อหา (Magnitude of Content Updates) หมายถึงการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในเว็บไซต์อย่างมีนัยสำคัญ เช่น การเพิ่มข้อมูลใหม่ การเขียนเนื้อหาใหม่ทั้งหมด หรือการปรับปรุงเนื้อหาเดิมให้มีคุณภาพมากขึ้น การอัปเดตเนื้อหาอย่างมากมีผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา
  • 28. ประวัติการอัปเดตหน้าเว็บ (Historical Page Updates) หมายถึงการติดตามและบันทึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเนื้อหาของหน้าเว็บต่างๆ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา Google ใช้ข้อมูลนี้ในการพิจารณาความน่าเชื่อถือและความเกี่ยวข้องของเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่มีการอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอแสดงถึงความน่าเชื่อถือและความใส่ใจในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยแก่ผู้ใช้งาน
  • 29. ความโดดเด่นของคีย์เวิร์ด (Keyword Prominence) หมายถึงตำแหน่งที่คีย์เวิร์ดปรากฏในเนื้อหาของหน้าเว็บ การใช้คีย์เวิร์ดในตำแหน่งที่สำคัญ เช่น ในส่วนหัวเรื่อง (Heading) ตอนต้นของย่อหน้าแรก หรือในแท็กไตเติล (Title Tag) จะช่วยให้ Google เข้าใจและให้ความสำคัญกับเนื้อหาของคุณมากขึ้น
  • 30. การใช้คีย์เวิร์ดในแท็ก H2 และ H3 เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญในการทำ SEO แท็ก H2 และ H3 เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเนื้อหาที่ช่วยให้ Google เข้าใจและวิเคราะห์เนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น การใช้คีย์เวิร์ดในตำแหน่งนี้ช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของเนื้อหากับคำค้นหา
  • 31. คุณภาพของลิงก์ขาออก (Outbound Link Quality) หมายถึงการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ของคุณไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีความน่าเชื่อถือและมีเนื้อหาคุณภาพสูง ลิงก์ขาออกที่มีคุณภาพช่วยเสริมเนื้อหาของคุณ โดยการเชื่อมโยงไปยังแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีขึ้น
  • 32. ธีมของลิงก์ขาออก (Outbound Link Theme) หมายถึงการที่เนื้อหาของลิงก์ขาออกมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ การที่ลิงก์ขาออกมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลักของเว็บไซต์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 33. ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บผ่าน HTML (Page Loading Speed via HTML) ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บที่ดีช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้น และลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) การปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บสามารถทำได้หลายวิธี โดยหนึ่งในวิธีหลักคือการปรับแต่ง HTML ของหน้าเว็บ
  • 34. การใช้ไวยากรณ์และการสะกดคำที่ถูกต้องเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เนื้อหาของเว็บไซต์ดูน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ การมีเนื้อหาที่มีไวยากรณ์และการสะกดคำที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพสูง
  • 35. เนื้อหาสหกรณ์ (Syndicated Content) หมายถึงเนื้อหาที่ถูกเผยแพร่หรือแบ่งปันไปยังหลายเว็บไซต์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและการแสดงผลของเนื้อหาในวงกว้าง การใช้เนื้อหาสหกรณ์สามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ แต่ต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเนื้อหาซ้ำซ้อนที่อาจส่งผลเสียได้
  • 36. การอัปเดตที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile-Friendly Update) เป็นการปรับปรุงของ Google ที่เน้นให้เว็บไซต์สามารถแสดงผลได้อย่างเหมาะสมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่อย่าง สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต การที่เว็บไซต์มีการอัปเดตที่เป็นมิตรกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น
  • 37. ความสามารถในการใช้งานบนมือถือ การที่เว็บไซต์มีความสามารถในการใช้งานบนมือถืออย่างเหมาะสมช่วยให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีและสะดวกสบายมากขึ้น โดย Google จะให้ความสำคัญกับปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานบนมือถือ เช่น ขนาดของตัวอักษร ความห่างห่างของลิงก์ และความพร้อมในการโหลดข้อมูล
  • 38. เนื้อหาที่ซ่อนอยู่บนมือถือ การมีเนื้อหาที่ถูกซ่อนอยู่บนเว็บไซต์เมื่อเข้าชมด้วยอุปกรณ์มือถือเป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งานและการจัดอันดับของ Google การซ่อนเนื้อหาบนมือถืออาจทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และมีผลต่อความน่าเชื่อถือและคุณภาพของเว็บไซต์
  • 39. เนื้อหาเสริมที่มีประโยชน์ (Helpful Supplementary Content) เป็นส่วนของเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่ไม่ใช่เนื้อหาหลัก แต่มีความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเว็บไซต์ หรือช่วยสนับสนุนเนื้อหาหลักให้มีความเข้าใจง่ายขึ้น โดยเนื้อหาเสริมที่มีประโยชน์สามารถเป็นอะไรก็ได้ เช่น วิดีโอเสริม, ภาพประกอบ, ตารางเปรียบเทียบ, คำแนะนำการใช้งาน, หรือข้อมูลเพิ่มเติมที่เสริมสร้างประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งาน
  • 40. การซ่อนเนื้อหาอยู่ในแท็บ (Content Hidden Behind Tabs) เป็นเทคนิคที่บางครั้งถูกใช้เพื่อลดความยุ่งเหยิงในหน้าเว็บหรือเพื่อปรับแต่งการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เมื่อผู้ใช้งานคลิกหรือแตะที่แท็บที่มีเนื้อหาที่ถูกซ่อนอยู่ ก็จะเปิดเนื้อหานั้นขึ้นมาให้เห็น การใช้เทคนิคนี้สามารถช่วยลดปริมาณเนื้อหาที่แสดงอยู่ในหน้าเว็บ และทำให้หน้าเว็บดูกระชับและเรียบง่ายขึ้น
  • 41. จำนวนลิงก์ออกจากเว็บ (Number of Outbound Links) เป็นจำนวนของลิงก์ที่เว็บไซต์ของคุณลิงค์ไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ ในโลกของอินเทอร์เน็ต การมีจำนวนลิงก์ออกจากเว็บที่เหมาะสมช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 42. มัลติมีเดีย (Multimedia) คือการใช้สื่อต่าง ๆ เช่น ภาพถ่าย วิดีโอ และเสียง เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้หรือการสื่อสารที่มีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น การใช้มัลติมีเดียช่วยเสริมความเข้าใจของข้อมูลและทำให้เนื้อหาดูน่าสนใจและเข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน
  • 43. จำนวนลิงก์ภายในที่ชี้ไปยังหน้าเว็บ (Number of Internal Links Pointing to Page) คือจำนวนของลิงก์ภายในที่มีบนเว็บไซต์ของคุณและชี้ไปยังหน้าเว็บหนึ่งหน้าหนึ่งบนเว็บไซต์ของคุณ การมีจำนวนลิงก์ภายในที่ชี้ไปยังหน้าเว็บแสดงถึงความสำคัญของหน้าเว็บนั้นในโครงสร้างของเว็บไซต์ของคุณ
  • 44. คุณภาพของลิงก์ภายในที่ชี้ไปยังหน้า (Quality of Internal Links Pointing to Page) หมายถึงความเหมาะสมและคุณภาพของลิงก์ภายในที่มีบนเว็บไซต์ของคุณและชี้ไปยังหน้าเว็บหน้าหนึ่ง ๆ บนเว็บไซต์ของคุณ การใช้เทคนิคนี้ช่วยส่งสัญญาณให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บนั้นมีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่า ซึ่งส่งผลให้ Google มองหน้าเว็บนั้นเป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีความสำคัญ
  • 45. ลิงก์ที่เสีย (Broken Links) เป็นลิงก์ที่ไม่สามารถเชื่อมต่อกับหน้าเว็บหรือทรัพยากรอื่น ๆ ได้ เป็นผลมาจากการลบหรือย้ายหน้าเว็บ หรือการเปลี่ยนชื่อเส้นทางของเว็บไซต์ การมีลิงก์ที่เสียส่งผลให้ผู้ใช้งานพบปัญหาในการเข้าถึงข้อมูลและส่งสัญญาณไม่ดีต่อ Google เนื่องจากส่งผลต่อประสิทธิภาพในการค้นหาและประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งาน
  • 46. ระดับความยากในการอ่าน (Reading Level) หมายถึง ระดับความยากหรือความสำคัญของเนื้อหาที่ถูกเขียนไว้บนเว็บไซต์ ซึ่งสามารถวัดได้โดยใช้เครื่องมือที่สามารถประเมินระดับความซับซ้อนของข้อความ เช่น Flesch-Kincaid Readability Test หรือ Automated Readability Index (ARI) โดยระดับความยากในการอ่านสามารถแสดงถึงความเหมาะสมของเนื้อหาต่อกลุ่มเป้าหมายของผู้อ่านและสามารถช่วยให้ผู้เข้าชมเข้าใจและรับรู้ข้อมูลได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • 47. ลิงก์ให้บริการตัวแทนจำหน่าย (Affiliate Links) เป็นลิงก์ที่ผูกพันกับโปรแกรมบริการตัวแทนจำหน่าย เมื่อผู้ใช้งานคลิกที่ลิงก์นี้และทำการซื้อสินค้าหรือบริการผ่านลิงก์นั้น ผู้ทำการตั้งค่าลิงก์ (affiliate) จะได้รับค่าคอมมิชชั่นหรือรายได้เป็นส่วนต่างจากการขายสินค้าหรือบริการนั้นๆ การใช้ลิงก์ให้บริการตัวแทนจำหน่ายช่วยให้เว็บไซต์สามารถรับรายได้จากการตั้งค่าลิงก์โดยที่ไม่ต้องมีสินค้าหรือบริการของตนเอง แต่หากว่าใส่เยอะจนเกินไป อาจจะดูเหมือนว่าเป็นเว็บไซต์ไม่มีคุณภาพเพราะตั้งใจเเสปมลิงค์ทำเงินมากเกินไปได้
  • 48. ข้อผิดพลาดใน HTML หรือการไม่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องของ W3C เป็นข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องที่พบในโค้ด HTML ของหน้าเว็บ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งาน การตรวจสอบความถูกต้องของ W3C เป็นกระบวนการที่ใช้โดยนักพัฒนาเว็บเพื่อตรวจสอบว่าโค้ด HTML ของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานของ W3C หรือไม่ แน่นอนว่า Google จะไม่ให้คะแนนที่ดีกับเว็บที่มีข้อผิดพลาดเยอะ
  • 49. ความเชื่อถือของโดเมน (Domain Authority) เป็นคะแนนที่ใช้วัดความเชื่อถือและความเข้มแข็งของโดเมนของเว็บไซต์ ซึ่งสามารถส่งผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google คะแนน Domain Authority มีผลต่อประสิทธิภาพในการทำ SEO โดยทั่วไปคะแนนนี้สามารถทำนายได้ว่าเว็บไซต์จะมีความสามารถที่จะติดอันดับในผลการค้นหาของ Google ได้ดี
  • 50. ระดับคะแนนของหน้า (PageRank) เป็นตัวบ่งชี้ที่ใช้ในการวัดความสำคัญของหน้าเว็บบนเว็บไซต์ ระดับคะแนนของหน้าส่งสัญญาณให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บนั้นมีความสำคัญและคุณค่า ซึ่งส่งผลให้มีโอกาสในการติดอันดับในผลการค้นหาของ Google ได้มากขึ้น
  • 51. ความยาวของ URL (URL Length) เป็นจำนวนตัวอักษรทั้งหมดใน URL ของหน้าเว็บหรือที่อยู่เว็บที่ถูกแสดงในแถบที่อยู่ของเบราว์เซอร์ URL ที่สั้นและกระชับช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอ่านและจดจำในขณะที่เข้าถึงหน้าเว็บ ทำให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น
  • 52. พาธของ URL (URL Path) คือส่วนของ URL ที่ตามหลังโดเมนเนมและชื่อโดเมน ซึ่งระบุที่ตั้งหรือตำแหน่งของเนื้อหาบนเว็บไซต์ เช่น /blog/article1 หรือ /products/category1/product2 พาธของ URL เป็นส่วนที่สำคัญในการระบุเนื้อหาที่ผู้ใช้งานกำลังเข้าถึงบนเว็บไซต์ พาธของ URL ช่วยให้เว็บไซต์สามารถบ่งชี้ที่ตั้งหรือตำแหน่งของเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้โดยง่าย เช่น เมื่อมีการแบ่งหมวดหมู่สำหรับบทความหรือสินค้า
  • 53. บรรณารักษ์มนุษย์ (Human Editors) เป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในการตรวจสอบและแก้ไขเนื้อหาบนเว็บไซต์ หน้าที่ของบรรณารักษ์มนุษย์คือการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลที่ปรากฏบนเว็บไซต์ เช่น การแก้ไขข้อผิดพลาดในไวยากรณ์ การตรวจสอบความเชื่อถือของข้อมูล และการปรับปรุงคุณภาพของเนื้อหาที่มีบนเว็บไซต์
  • 54. หมวดหมู่ของหน้า (Page Category) คือการกำหนดหมวดหมู่หรือกลุ่มของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาและเข้าถึงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อหรือประเภทที่สนใจได้ง่ายขึ้น
  • 55. คำสำคัญใน URL (Keyword in URL) เป็นการนำคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือหัวข้อของหน้าเว็บไซต์มาใช้เป็นส่วนหนึ่งของ URL ซึ่งช่วยเพิ่มความสัมพันธ์และความสำคัญของเนื้อหาต่อการค้นหาและการจัดอันดับในผลการค้นหา
  • 56. ลำดับอักขระของ URL (URL String) คือลำดับของตัวอักษรและสัญลักษณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของ URL ทั้งหมด ลำดับอักขระของ URL ช่วยในการระบุที่ตั้งของเนื้อหาบนเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงและนำเสนอเนื้อหาได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
  • 57. การอ้างอิงและการระบุแหล่งข้อมูล (References and Sources) เป็นส่วนสำคัญในการเสริมความเชื่อถือและความน่าเชื่อถือของเนื้อหาบนเว็บไซต์ โดยให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่ถูกอ้างอิงในเนื้อหา เช่น บทความวิชาการ งานวิจัย หรือเอกสารที่เชื่อถือได้
  • 58. ลำดับความสำคัญของหน้าใน Sitemap (Priority of Page in Sitemap) เป็นการกำหนดลำดับที่แสดงความสำคัญของหน้าเว็บใน Sitemap ซึ่งส่งผลต่อการบอกเรื่องสำคัญของหน้าเว็บนั้นๆ ในตำแหน่งที่อยู่ใน Sitemap การกำหนดลำดับความสำคัญของหน้าใน Sitemap ช่วยให้ Google รู้ว่าหน้าเว็บใดมีความสำคัญและสำคัญที่สุด
  • 59. การมีลิงก์ออกมากเกินไป (Too Many Outbound Links) เป็นสถานการณ์ที่เว็บไซต์มีจำนวนลิงก์ที่ชี้ไปยังเว็บไซต์อื่นๆ มากเกินไปซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพใน SEO และประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งานทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ได้ตามที่คาดหวัง
  • 60. สัญญาณของประสบการณ์การใช้งาน (UX) จากการจัดอันดับของหน้าเพจสำหรับคำสำคัญอื่นๆ หมายถึงการวิเคราะห์และใช้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดอันดับของหน้าเพจในผลการค้นหาสำหรับคำสำคัญอื่นๆ เพื่อให้เข้าใจถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งานที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาดังกล่าว การเข้าใจถึงประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้งานสำหรับคำสำคัญอื่นๆ ช่วยให้เข้าใจว่าเนื้อหานั้นมีความสำคัญต่อผู้ใช้งานและได้รับการตอบรับเชิงบวกหรือไม่
  • 61. อายุของหน้า (Page Age) หมายถึงระยะเวลาที่ผ่านไปตั้งแต่หน้าเว็บนั้นถูกสร้างขึ้นมา หน้าเว็บที่มีอายุมากกว่ามักจะถูกมองเป็นเนื้อหาที่เชื่อถือได้มากขึ้น เนื่องจากมีประสบการณ์และความรู้ที่สร้างขึ้นมาในระยะเวลานั้น
  • 62. การจัดเลย์เอาท์ที่ใช้ง่ายสำหรับผู้ใช้ หมายถึงการออกแบบเลย์เอาท์ของหน้าเว็บที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน โดยให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานที่เป็นมิตรและง่ายต่อการนำทาง เลย์เอาท์ที่มีการจัดวางสิ่งของและเนื้อหาอย่างเหมาะสม ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยง่ายและรวดเร็ว การมีอินเตอร์เฟสที่ใช้งานได้ง่ายและมีการนำทางที่ชัดเจนช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาและฟังก์ชันต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและสะดวก
  • 63. โดเมนที่ถูกจองไว้ (Parked Domain) หมายถึงโดเมนเว็บไซต์ที่ถูกซื้อและจองไว้โดยเจ้าของโดเมน แต่ไม่ได้ใช้งานหรือสร้างเว็บไซต์บนโดเมนนั้น โดยมักจะมีการแสดงโฆษณาหรือเพจสเป็คที่ว่างเปล่าในขณะที่ยังไม่มีเนื้อหาหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับโดเมนนั้นๆ แน่นอนว่า Google ไม่ชอบ Parked Domain เอาเสียเลย
  • 64. การใช้ลูกศรและตัวเลขในรายการ (Bullets and Numbered Lists) เป็นวิธีที่นิยมใช้เพื่อแสดงข้อมูลหรือรายการต่างๆ ในรูปแบบที่สวยงามและชัดเจน การใช้ลูกศรและตัวเลขช่วยเน้นข้อมูลที่สำคัญหรือข้อความที่ต้องการเน้นได้ชัดเจนมากขึ้น เนื้อหาดูสะดวกและน่าอ่านมากขึ้น
  • 65. เนื้อหาที่มีประโยชน์ หมายถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยสามารถจัดเรียงและนำเสนอข้อมูลให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านหรือผู้ใช้งานได้อย่างชัดเจนและเป็นระเบียบ
ปัจจัยเกี่ยวกับเว็บไซต์โดยรวม

ปัจจัยเกี่ยวกับเว็บไซต์โดยรวม

  • 66. เนื้อหาที่ให้ค่าและมีความคิดสร้างสรรค์ หน้าเว็บที่ให้คุณค่าและมีความคิดสร้างสรรค์สำหรับผู้ใช้งานมักจะได้รับการประเมินเป็นบวกจาก Google ซึ่งอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา เนื้อหาที่ดีคือเนื้อหาที่มีความเป็นเอกลักษณ์และให้ความรู้หรือข้อมูลที่ไม่เหมือนใครอื่นๆ โดยมุ่งเน้นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และมีความคิดสร้างสรรค์เพื่อช่วยแก้ปัญหาหรือเพิ่มความเข้าใจให้กับผู้อ่าน
  • 67. หน้าติดต่อเราช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสให้กับเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้เห็นว่ามีข้อมูลการติดต่อที่ชัดเจนและเป็นทางการ จะทำให้พวกเขารู้สึกมั่นใจในความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์นั้นๆ
  • 68. ความน่าไว้วางใจของโดเมน (Domain Trust) / TrustRank ช่วยให้ Google สามารถระบุและลดอันดับเว็บไซต์ที่มีคุณภาพต่ำหรือเว็บไซต์ที่เป็นสแปมได้
  • 69. โครงสร้างของเว็บไซต์ (Site Architecture) เป็นการวางแผนและออกแบบการจัดเรียงหน้าเว็บให้เป็นระเบียบและเข้าถึงง่าย โครงสร้างของเว็บไซต์ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำทางไปยังหน้าเว็บต่างๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว การจัดลำดับความสำคัญของหน้าเว็บ การใช้เมนูนำทางที่ชัดเจน และการจัดหมวดหมู่เนื้อหาอย่างเป็นระบบ จะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ อีกประการหนึ่งคือบอทของ Google จะเข้ามาเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณ หากโครงสร้างของเว็บไซต์เป็นระเบียบและเชื่อมโยงกันดี จะช่วยให้บอทสามารถเข้าถึงและเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้การจัดอันดับในผลการค้นหาดีขึ้น
  • 70. การอัปเดตเว็บไซต์ (Site Updates) การอัปเดตเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอช่วยให้เนื้อหาของคุณสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงและเทรนด์ในตลาดได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือและทันสมัย Google ชื่นชอบเว็บไซต์ที่มีการอัปเดตเนื้อหาใหม่ๆ อยู่เสมอ เนื้อหาที่สดใหม่และมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและมีโอกาสในการถูกจัดอันดับสูงขึ้น
  • 71. การมีแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ทำให้ Googlebot สามารถเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้น การมีแผนผังที่ชัดเจนและครอบคลุมทุกหน้าของเว็บไซต์ จะช่วยให้บอทสามารถเก็บข้อมูลได้ครบถ้วนและรวดเร็วขึ้น
  • 72. ความต่อเนื่องในการให้บริการของเว็บไซต์ (Site Uptime) เว็บไซต์ที่มีการให้บริการอย่างต่อเนื่องและไม่มีการหยุดชะงัก จะช่วยให้ผู้ใช้มีประสบการณ์การใช้งานที่ดี เมื่อผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา จะเพิ่มความพึงพอใจและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate)
  • 73. ที่ตั้งเซิร์ฟเวอร์ (Server Location) มีผลต่อความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ หากเซิร์ฟเวอร์ตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้มากขึ้น การโหลดหน้าเว็บจะเร็วขึ้น เมื่อเว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้น ผู้ใช้จะมีประสบการณ์การใช้งานที่ดีขึ้น ไม่ต้องรอนาน ซึ่งช่วยลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) และเพิ่มความพึงพอใจของผู้ใช้
  • 74. ใบรับรอง SSL (SSL Certificate) จะเข้ารหัสข้อมูลที่ส่งระหว่างผู้ใช้และเซิร์ฟเวอร์ ทำให้ข้อมูลมีความปลอดภัยและป้องกันการโจรกรรมข้อมูลจากบุคคลที่สาม ซึ่งแสดงให้ผู้ใช้เห็นว่าเว็บไซต์นั้นมีการป้องกันข้อมูลและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น ผู้ใช้จะรู้สึกมั่นใจในการใช้งานเว็บไซต์และการทำธุรกรรมออนไลน์
  • 75. E-E-A-T ย่อมาจาก Experience (ประสบการณ์), Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ), และ Trustworthiness (ความน่าไว้วางใจ) การมีผู้เชี่ยวชาญในหัวข้อต่างๆ เขียนเนื้อหาบนเว็บไซต์จะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้ ว่าเนื้อหานั้นถูกต้องและมีคุณภาพ การแสดงข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน เช่น ประวัติการทำงานและความเชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้อง จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือของเนื้อหา เว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือจะมีการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ การมีแบ็คลิงค์จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือสูงจะช่วยเพิ่มคะแนน E-E-A-T การมีเนื้อหาที่ถูกต้องและมีการอ้างอิงที่ชัดเจน รวมถึงการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัย เช่น การใช้ SSL Certificate จะช่วยเพิ่มความน่าไว้วางใจให้กับผู้ใช้และ Google นอกจากนี้ การมีหน้าติดต่อเราและนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
  • 76. ข้อมูลเมตาที่ซ้ำกันบนเว็บไซต์ (Duplicate Meta Information) เช่น เมตาแท็กคำอธิบาย (Meta Descriptions) และเมตาแท็กชื่อ (Meta Titles) ที่ซ้ำกันในหลายๆ หน้า จะส่งผลเสียต่อการจัดอันดับ เมื่อ Googlebot พบข้อมูลเมตาที่ซ้ำกันในหลายๆ หน้า จะเกิดความสับสนในการระบุว่าเนื้อหาในหน้าใดมีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งอาจทำให้หน้าที่มีเนื้อหาดีๆ ไม่ได้รับการจัดอันดับที่ดีเท่าที่ควร
  • 77. การนำทางด้วย Breadcrumb (Breadcrumb Navigation) เป็นเทคนิคในการนำเสนอเส้นทางการเดินทางของผู้ใช้ในเว็บไซต์ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจตำแหน่งที่อยู่ในเว็บไซต์และสามารถย้อนกลับไปยังหน้าก่อนหน้าได้ง่ายดาย Breadcrumb ช่วยให้ Googlebot เข้าใจโครงสร้างและลำดับชั้นของหน้าเว็บในเว็บไซต์ได้ดีขึ้น การมีการนำทางที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกันดี จะช่วยให้บอทสามารถเก็บข้อมูลและจัดทำดัชนี (Indexing) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • 78. การปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือ (Mobile Optimized) เว็บไซต์ที่ถูกปรับให้เหมาะกับมือถือจะโหลดเร็วและมีการแสดงผลที่เหมาะสมบนหน้าจอขนาดเล็ก ผู้ใช้จะสามารถนำทางและอ่านเนื้อหาได้สะดวก ทำให้ประสบการณ์การใช้งานดีขึ้นและเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะกลับมาใช้งานเว็บไซต์อีกครั้ง
  • 79. YouTube เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีผลต่อการจัดอันดับของ Google SEO อย่างมาก เนื่องจากวิดีโอที่อยู่บน YouTube สามารถเพิ่มการมองเห็นและการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ การฝังวิดีโอ YouTube ลงในเว็บไซต์ของคุณจะช่วยเพิ่มเวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ (Dwell Time) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ นอกจากนี้ วิดีโอยังสามารถดึงดูดผู้ใช้ใหม่ๆ ให้เข้ามาชมเว็บไซต์ของคุณผ่านการค้นหาบน YouTube ได้อีกด้วย
  • 80. การใช้งานของเว็บไซต์ (Site Usability) ช่วยให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและสะดวก การนำทางที่ชัดเจนและการจัดวางเนื้อหาอย่างเป็นระเบียบจะทำให้ผู้ใช้มีความพึงพอใจและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate)
  • 81. การใช้เครื่องมือ Google Analytics และ Google Search Console Google Analytics ช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ได้อย่างละเอียด เช่น จำนวนผู้เข้าชม ระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้ในเว็บไซต์ หน้าเว็บที่มีการเข้าชมมากที่สุด และอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ปรับปรุงเนื้อหาและการออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้ Google Search Console ช่วยให้ผู้ดูแลเว็บไซต์สามารถตรวจสอบสถานะการจัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google ได้อย่างละเอียด รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาที่ผู้ใช้ใช้ในการค้นหาเว็บไซต์ ข้อมูลการคลิก และการแสดงผลในผลการค้นหา ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • 82. รีวิวจากผู้ใช้และชื่อเสียงของเว็บไซต์ (User Reviews/Site Reputation) รีวิวจากผู้ใช้ที่เป็นบวกช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้เห็นว่าเว็บไซต์มีรีวิวที่ดี พวกเขาจะมีความมั่นใจในการใช้บริการหรือสินค้าจากเว็บไซต์นั้น การมีรีวิวที่ดีมากๆ ยังส่งผลให้ Google มองว่าเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือสูง
  • 83. Core Web Vitals เป็นกลุ่มของเมตริกที่ Google ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพและประสบการณ์การใช้งานของเว็บไซต์ – Largest Contentful Paint (LCP) วัดเวลาที่ใช้ในการโหลดเนื้อหาหลักที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บ ควรอยู่ภายใน 2.5 วินาทีหรือน้อยกว่า การมี LCP ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับเนื้อหาที่สำคัญเร็วขึ้น เพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) , First Input Delay (FID) วัดเวลาที่ผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับหน้าเว็บได้หลังจากที่พวกเขาทำการคลิกหรือโต้ตอบครั้งแรก ควรอยู่ภายใน 100 มิลลิวินาทีหรือน้อยกว่า FID ที่ดีช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์ตอบสนองเร็วและใช้งานง่าย, Cumulative Layout Shift (CLS) วัดความเสถียรของการเลื่อนเนื้อหาบนหน้าเว็บ ค่าคะแนนควรอยู่ที่ 0.1 หรือน้อยกว่า การมี CLS ที่ดีจะช่วยให้เนื้อหาบนหน้าเว็บไม่เคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนแปลงตำแหน่งโดยไม่คาดคิด ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถอ่านและโต้ตอบกับเนื้อหาได้อย่างสะดวก
ปัจจัยเกี่ยวกับแบ็คลิงค์

ปัจจัยเกี่ยวกับแบ็คลิงค์

  • 84. อายุของโดเมนที่เชื่อมโยง (Linking Domain Age) โดเมนที่มีอายุยาวนานมักจะถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือและมั่นคงมากกว่าโดเมนใหม่ๆ การมีลิงก์จากโดเมนที่มีอายุยาวนานจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 85. จำนวนของรูทโดเมนที่เชื่อมโยง (Number of Linking Root Domains) การมีลิงก์จากหลายๆ รูทโดเมนแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากแหล่งที่มาหลากหลาย
  • 86. จำนวนของลิงก์จาก IP C-Class ที่แยกกัน (Number of Links from Separate C-Class IPs) การมีลิงก์จากหลายๆ IP C-Class ที่แยกกันแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการยอมรับจากแหล่งที่มาหลากหลายและไม่มีการใช้กลวิธีสแปมลิงก์
  • 87. จำนวนของหน้าที่เชื่อมโยง (Number of Linking Pages) การมีลิงก์จากหลายๆ หน้าของเว็บไซต์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการยอมรับจากแหล่งที่มาหลากหลายช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและได้รับการสนับสนุนจากแหล่งที่มาที่มีคุณภาพ
  • 88. ข้อความที่ใช้เป็นลิงก์ย้อนกลับ (Backlink Anchor Text) การใช้ข้อความที่เป็นคีย์เวิร์ดหลักหรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องในลิงก์ย้อนกลับจะช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บที่ลิงก์ชี้ไป การมีข้อความที่ใช้เป็นลิงก์ย้อนกลับที่หลากหลายและไม่ซ้ำกันแสดงให้เห็นถึงความเป็นธรรมชาติของลิงก์และความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
  • 89. แท็ก Alt (Alt Tag) เป็นข้อความที่ใช้ในการอธิบายภาพในเว็บไซต์ แท็ก Alt ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจเนื้อหาของภาพได้
  • 90. ลิงก์จากโดเมน .edu หรือ .gov โดเมน .edu มาจากสถาบันการศึกษา และโดเมน .gov มาจากหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีความน่าเชื่อถือสูง การได้รับลิงก์จากโดเมนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 91. ความน่าเชื่อถือของหน้าที่เชื่อมโยง (Authority of Linking Page) การได้รับลิงก์จากหน้าที่มีความน่าเชื่อถือสูงจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ซึ่งมีผลดีต่อการจัดอันดับ
  • 92. ความน่าเชื่อถือของโดเมนที่เชื่อมโยง (Authority of Linking Domain) การได้รับลิงก์จากโดเมนที่มีความน่าเชื่อถือสูง จะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 93. การได้รับลิงก์จากคู่แข่ง (Links from Competitors) ที่มีความน่าเชื่อถือและคุณภาพสูงจะแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณมีคุณค่าและได้รับการยอมรับจากผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • 94. การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์ที่คาดหวัง (Expected Websites) เช่น เว็บไซต์ข่าวที่น่าเชื่อถือ บล็อกที่มีชื่อเสียง หรือเว็บไซต์อุตสาหกรรมที่มีคุณภาพสูง จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 95. การได้รับลิงก์จากแหล่งที่ไม่ดี (Bad Neighborhoods) เช่น เว็บไซต์สแปม เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาละเมิดลิขสิทธิ์ หรือเว็บไซต์ที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม จะส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือต่ำลง การมีลิงก์จากแหล่งที่ไม่ดีอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษจาก Google เช่น การลดอันดับในการค้นหา หรือแม้กระทั่งการถูกนำออกจากผลการค้นหา
  • 96. บทความที่เขียนโดยผู้เยี่ยมชม (Guest Posts) การเขียนบทความโดยผู้เยี่ยมชมบนเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาของคุณ เมื่อผู้อ่านเห็นว่าบทความของคุณได้รับการตีพิมพ์บนเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง พวกเขาจะมีความมั่นใจในคุณภาพของเนื้อหาและเว็บไซต์ของคุณ
  • 97. ลิงก์จากโฆษณา (Links from Ads) Google มีความสามารถในการระบุลิงก์ที่มาจากโฆษณา เช่น ลิงก์ที่มีแท็ก “nofollow” ซึ่งบอกให้ Googlebot ไม่ติดตามลิงก์เหล่านั้นและไม่ส่งผลต่อคะแนน SEO ของเว็บไซต์ ดังนั้นลิงก์จากโฆษณาจึงไม่ส่งผลต่อการจัดอันดับโดยตรง แม้ว่าลิงก์จากโฆษณาอาจไม่ส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับของ Google SEO แต่ก็มีผลดีในการเพิ่มการมองเห็นและการเข้าชมเว็บไซต์ การที่ผู้ใช้คลิกโฆษณาและเข้าชมเว็บไซต์ของคุณจะช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์และอาจนำไปสู่การสร้างลิงก์ธรรมชาติจากผู้ใช้ที่พึงพอใจ
  • 98. ความน่าเชื่อถือของหน้าแรก (Homepage Authority) หน้าแรกเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างลิงก์ภายในไปยังหน้าต่างๆ ภายในเว็บไซต์ การมีหน้าแรกที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของลิงก์ภายในและช่วยให้หน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์มีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น
  • 99. ลิงก์ Nofollow เป็นลิงก์ที่มีแอตทริบิวต์ “nofollow” ซึ่งบอกให้เครื่องมือค้นหาไม่ติดตามลิงก์นี้และไม่ส่งผ่านค่า SEO หรือ PageRank ไปยังหน้าเว็บที่ลิงก์ไปถึง การมีลิงก์ Nofollow บางส่วนในโปรไฟล์ลิงก์ของคุณช่วยทำให้โปรไฟล์ลิงก์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น Google มองหาโปรไฟล์ลิงก์ที่มีการผสมผสานระหว่างลิงก์ Follow และ Nofollow ซึ่งช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์
  • 100. ความหลากหลายของประเภทลิงก์ (Diversity of Link Types) การมีลิงก์จากแหล่งที่มาและประเภทต่าง ๆ เช่น ลิงก์ Follow, Nofollow, ลิงก์จากบทความ, ลิงก์จากความคิดเห็นในบล็อก และลิงก์จากโซเชียลมีเดีย ช่วยให้โปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์ดูเป็นธรรมชาติและน่าเชื่อถือ
  • 101. การใช้แท็ก “Sponsored” หรือ “UGC” (User Generated Content) ช่วยให้ Google ทราบว่าลิงก์เหล่านี้เป็นลิงก์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยมีการสนับสนุนทางการเงิน หรือเป็นเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเอง ซึ่งช่วยป้องกันการถูกลงโทษจาก Google เนื่องจากการมีลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือสแปม
  • 102. ลิงก์ในบริบท (Contextual Links) เป็นลิงก์ที่ถูกฝังอยู่ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่ลิงก์ไปหา ลิงก์ในบริบทช่วยเสริมความเกี่ยวข้องของเนื้อหาบนหน้าเว็บ เมื่อ Google เห็นว่าลิงก์มีความสัมพันธ์กับเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ก็จะมองว่าเนื้อหานั้นมีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
  • 103. การใช้ 301 Redirect มากเกินไปไปยังหน้าเว็บ (Excessive 301 Redirects to Page) การใช้ 301 Redirect มากเกินไปสามารถทำให้ Googlebot สับสนในการจัดทำดัชนี (Indexing) และการเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ การมีการเปลี่ยนเส้นทางมากเกินไปอาจทำให้บางหน้าถูกละเลยหรือไม่ถูกจัดทำดัชนีอย่างถูกต้อง
  • 104. ข้อความที่ใช้เป็นลิงก์ภายใน (Internal Link Anchor Text) การใช้ข้อความลิงก์ที่ชัดเจนและมีความหมายช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำทางไปยังหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น การทำให้ผู้ใช้สามารถหาข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดีและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate)
  • 105. การใช้แอตทริบิวต์ชื่อของลิงก์ (Link Title Attribute) การใช้แอตทริบิวต์ชื่อของลิงก์ช่วยให้ผู้ใช้ที่ใช้เครื่องมือช่วยเหลือ เช่น โปรแกรมอ่านหน้าจอ สามารถเข้าใจและนำทางในเว็บไซต์ได้ดีขึ้น ข้อความในแอตทริบิวต์นี้ควรอธิบายเนื้อหาหรือหน้าที่ลิงก์ชี้ไปอย่างชัดเจนและกระชับ เมื่อผู้ใช้วางเมาส์บนลิงก์ แอตทริบิวต์ชื่อจะปรากฏเป็นข้อความแนะนำ (Tooltip) ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับลิงก์ก่อนที่จะคลิก การใช้แอตทริบิวต์ชื่อที่มีความหมายช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดี
  • 106. โดเมนระดับบนสุดของประเทศ (Country TLD) ลิงก์จากโดเมนระดับบนสุดของประเทศ (.th, .jp, .uk ฯลฯ) สามารถช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องในระดับภูมิภาคให้กับเว็บไซต์ของคุณ หากเว็บไซต์ของคุณมุ่งเน้นการตลาดหรือบริการในประเทศนั้นๆ การมีลิงก์จากโดเมนที่มี TLD ของประเทศนั้นจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเกี่ยวข้อง
  • 107. ตำแหน่งของลิงก์ในเนื้อหา (Link Location In Content) ลิงก์ที่วางอยู่ในส่วนสำคัญของเนื้อหา เช่น ในย่อหน้าแรก หรือภายในบทความหลัก มักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าลิงก์ที่วางอยู่ในส่วนท้ายหรือส่วนที่ไม่สำคัญ การวางลิงก์ในตำแหน่งที่เด่นช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาและลิงก์นั้น
  • 108. ตำแหน่งของลิงก์บนหน้าเว็บ (Link Location on Page) ลิงก์ที่วางอยู่ในส่วนสำคัญของหน้าเว็บ เช่น ส่วนหัว (Header) หรือเนื้อหาหลัก (Main Content) มักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่าลิงก์ที่วางอยู่ในส่วนท้าย (Footer) หรือแถบด้านข้าง (Sidebar) การวางลิงก์ในตำแหน่งที่เด่นจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับลิงก์นั้น ลิงก์ที่วางในเนื้อหาหลักของหน้าเว็บ (Body Content) จะมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหามากกว่า การวางลิงก์ในบริบทที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องช่วยให้ Google เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของเนื้อหาและลิงก์นั้น ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับ
  • 109. ความเกี่ยวข้องของโดเมนที่เชื่อมโยง (Linking Domain Relevancy) ลิงก์จากโดเมนที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการยอมรับจากแหล่งที่มาในอุตสาหกรรมหรือหัวข้อเดียวกัน การมีลิงก์จากโดเมนที่เกี่ยวข้องจะช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 110. ความเกี่ยวข้องในระดับหน้าเว็บ (Page-Level Relevancy) หน้าเว็บที่มีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหามักจะได้รับความน่าเชื่อถือมากกว่า หน้าเว็บที่มีข้อมูลที่ครอบคลุมและตรงกับความต้องการของผู้ใช้จะช่วยเพิ่มคะแนน SEO และการจัดอันดับ
  • 111. การใช้คีย์เวิร์ดในชื่อเรื่อง (Keyword in Title) ชื่อเรื่องที่มีคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องจะช่วยดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้รู้ว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับอะไรและตรงกับความต้องการของพวกเขา ซึ่งจะเพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate) และการใช้คีย์เวิร์ดในชื่อเรื่องช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ดีขึ้น และช่วยในการจัดทำดัชนี (Indexing) อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา
  • 112. ความเร็วในการเพิ่มลิงก์ที่เป็นบวก (Positive Link Velocity) การได้รับลิงก์ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอจากแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือช่วยเสริมความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ Google มองว่าเว็บไซต์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในการได้รับลิงก์เป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับ
  • 113. ความเร็วในการลดลิงก์ที่เป็นลบ (Negative Link Velocity) หมายถึงอัตราการสูญเสียลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) ในช่วงเวลาหนึ่งการสูญเสียลิงก์ย้อนกลับอย่างรวดเร็วจากแหล่งที่มาที่น่าเชื่อถืออาจทำให้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ลดลง Google มองว่าเว็บไซต์ที่สูญเสียลิงก์มากๆ ในช่วงเวลาสั้นๆ อาจมีปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพของเนื้อหาหรือความน่าเชื่อถือ
  • 114. ลิงก์จากหน้า “Hub” หมายถึงลิงก์จากหน้าเว็บที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูลในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง และมักมีลิงก์ไปยังหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หน้า “Hub” เป็นแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและมีคุณค่าสูงในการจัดอันดับ การได้รับลิงก์จากหน้า “Hub” ช่วยให้ Google เข้าใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่มีคุณค่าและเกี่ยวข้อง
  • 115. ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ (Authority Sites) ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมีน้ำหนักมากในการจัดอันดับของ Google ลิงก์เหล่านี้ช่วยเพิ่มคะแนน SEO และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาในตำแหน่งที่ดีขึ้น
  • 116. ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ (Links from Authority Sites) โดยเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมักมีเนื้อหาที่มีคุณภาพและได้รับการยอมรับในวงกว้าง การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์เหล่านี้ช่วยเพิ่มคะแนน SEO ของเว็บไซต์ของคุณ
  • 117. การปรากฏร่วมกัน (Co-Occurrences) หมายถึงการที่คำหลักหรือวลีปรากฏอยู่ในบริบทเดียวกันกับคำอื่นๆ บนหน้าเว็บหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง การปรากฏร่วมกันของคำหลักในบริบทที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความเกี่ยวข้องของเนื้อหา Google จะมองว่าเนื้อหานั้นมีความสัมพันธ์และเชื่อมโยงกับหัวข้อที่ผู้ใช้ค้นหา ซึ่งส่งผลดีต่อการจัดอันดับ
  • 118. อายุของลิงก์ย้อนกลับ (Backlink Age) ลิงก์ย้อนกลับที่มีอายุยาวนานแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของเว็บไซต์นั้นมีความน่าเชื่อถือและคงความสำคัญอยู่ตลอดเวลา Google มองว่าลิงก์ที่มีอายุยาวนานมีคุณค่าและมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าลิงก์ใหม่ๆ
  • 119. การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์จริง (Real Sites) และการได้รับลิงก์จากบล็อกขยะ (Splogs) ลิงก์จากเว็บไซต์จริงที่มีเนื้อหาคุณภาพและได้รับการยอมรับมีความน่าเชื่อถือสูงกว่า Google มองว่าลิงก์เหล่านี้มีคุณค่าและช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ ในทางกลับกัน ลิงก์จาก Splogs ซึ่งเป็นบล็อกขยะที่สร้างขึ้นมาเพื่อการสแปมไม่มีความน่าเชื่อถือและอาจส่งผลเสียต่อคะแนน SEO ของคุณ
  • 120. โปรไฟล์ลิงก์ที่เป็นธรรมชาติ (Natural Link Profile) หมายถึงการมีลิงก์ย้อนกลับ (Backlinks) ที่มาจากแหล่งที่มีความหลากหลายและมีความน่าเชื่อถือ โดยไม่มีการจัดการหรือสร้างขึ้นเพื่อการสแปม การมีโปรไฟล์ลิงก์ที่เป็นธรรมชาติเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลดีต่อการจัดอันดับ
  • 121. ลิงก์แลกเปลี่ยน (Reciprocal Links) หมายถึงการที่สองเว็บไซต์แลกเปลี่ยนลิงก์กัน โดยที่แต่ละเว็บไซต์ให้ลิงก์ไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง การใช้ลิงก์แลกเปลี่ยนมากเกินไปหรือการแลกเปลี่ยนลิงก์กับเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่เกี่ยวข้องสามารถทำให้ Google มองว่าเป็นการพยายามควบคุมคะแนน SEO และอาจส่งผลให้เว็บไซต์ถูกลงโทษ
  • 122. ลิงก์จากเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (User Generated Content Links) หมายถึงลิงก์ที่มาจากเนื้อหาที่ผู้ใช้เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มสร้างขึ้น เช่น คอมเมนต์ในบล็อก โพสต์ในฟอรั่ม หรือบทวิจารณ์สินค้า การมีลิงก์จากเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับโปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์ ซึ่งทำให้โปรไฟล์ลิงก์ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น
  • 123. ลิงก์จากการเปลี่ยนเส้นทาง 301 (Links from 301 Redirects) การใช้การเปลี่ยนเส้นทาง 301 จะช่วยส่งผ่านค่า SEO หรือ PageRank จากหน้าเว็บเก่าไปยังหน้าเว็บใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้หน้าเว็บใหม่ยังคงรักษาความน่าเชื่อถือและคะแนน SEO ที่ได้รับจากหน้าเว็บเก่า
  • 124. การใช้ Schema.org ช่วยให้Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ เข้าใจเนื้อหาและบริบทของหน้าเว็บได้ดีขึ้น เช่น ประเภทของเนื้อหา ผู้แต่ง วันที่เผยแพร่ การให้คะแนน รีวิว และข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง การมีข้อมูลโครงสร้างที่ชัดเจนช่วยให้ Google สามารถจัดทำดัชนีและแสดงผลการค้นหาได้อย่างแม่นยำ
  • 125. TrustRank ของเว็บไซต์ที่เชื่อมโยง (TrustRank of Linking Site) ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มี TrustRank สูงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ Google มองว่าลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและคุณภาพสูงเป็นการรับรองว่าเนื้อหาของคุณมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
  • 126. จำนวนลิงก์ออกบนหน้าเว็บ (Number of Outbound Links on Page) ลิงก์ออกที่เกี่ยวข้องและมีประโยชน์ช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดี
  • 127. ลิงก์จากฟอรั่ม (Forum Links) เป็นลิงก์ที่มาจากการโพสต์หรือความคิดเห็นในฟอรั่มออนไลน์ ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ หากโพสต์หรือความคิดเห็นในฟอรั่มมีความน่าสนใจและเกี่ยวข้อง ผู้ใช้ในฟอรั่มอาจคลิกที่ลิงก์และเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ
  • 128. จำนวนคำของเนื้อหาที่เชื่อมโยง (Word Count of Linking Content) เนื้อหาที่ยาวและมีคุณภาพสูงมักมีโอกาสได้รับลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่นๆ มากกว่า เนื่องจากผู้เขียนเนื้อหาอื่นๆ อาจเห็นว่าเนื้อหาของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าและน่าเชื่อถือในการอ้างอิง
  • 129. คุณภาพของเนื้อหาที่เชื่อมโยง (Quality of Linking Content) การได้รับลิงก์จากเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 130. ลิงก์ที่มีอยู่ทั่วทั้งเว็บไซต์ (Sitewide Links) หมายถึงลิงก์ที่ปรากฏในทุกหน้าของเว็บไซต์ เช่น ลิงก์ในส่วนของหัวเว็บ (Header) ส่วนท้ายเว็บ (Footer) หรือแถบด้านข้าง (Sidebar) การใช้ลิงก์ที่มีอยู่ทั่วทั้งเว็บไซต์มีผลต่อการจัดอันดับ ลิงก์ที่มีอยู่ทั่วทั้งเว็บไซต์ช่วยเพิ่มโอกาสในการมองเห็นเนื้อหาหรือหน้าที่เชื่อมโยง ผู้ใช้ที่เยี่ยมชมหน้าเว็บต่างๆ ภายในเว็บไซต์จะเห็นลิงก์เหล่านี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การคลิกและการเข้าชมหน้าเว็บที่ลิงก์ชี้ไป
การโต้ตอบของผู้ใช้

การโต้ตอบของผู้ใช้

  • 131. RankBrain เป็นระบบ AI ที่ Google ใช้ในการประมวลผลคำค้นหาและปรับปรุงผลการค้นหาให้มีความแม่นยำและเกี่ยวข้องมากขึ้น RankBrain ช่วยปรับปรุงผลการค้นหาให้มีคุณภาพสูงขึ้น โดยการวิเคราะห์และเรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การคลิกเข้าไปดูผลการค้นหา (Click-Through Rate) และเวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ (Dwell Time) ทำให้ Google สามารถปรับปรุงและจัดอันดับผลการค้นหาได้อย่างแม่นยำ
  • 132. อัตราการคลิกแบบออร์แกนิก (Organic Click Through Rate หรือ CTR) หมายถึงเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่คลิกที่ลิงก์เว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนผู้ที่เห็นลิงก์นั้น อัตราการคลิกแบบออร์แกนิกที่สูงช่วยส่งสัญญาณให้ Google เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งอาจช่วยปรับปรุงอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา
  • 133. อัตราการคลิกแบบออร์แกนิกสำหรับทุกคีย์เวิร์ด (Organic CTR for All Keywords) หมายถึงเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่คลิกที่ลิงก์เว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาแบบออร์แกนิกเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ที่เห็นลิงก์นั้น แสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีความเกี่ยวข้องและน่าสนใจสำหรับผู้ใช้ Google จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับคำค้นหาที่หลากหลาย
  • 134. อัตราการตีกลับ (Bounce Rate) หมายถึงเปอร์เซ็นต์ของผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์แล้วออกไปโดยไม่ทำการโต้ตอบหรือเยี่ยมชมหน้าอื่นๆ ในเว็บไซต์ การมีอัตราการตีกลับที่ต่ำเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการจัดอันดับ
  • 135. การเข้าชมเว็บไซต์โดยตรง (Direct Traffic) หมายถึงผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณโดยพิมพ์ URL ของเว็บไซต์ลงในเบราว์เซอร์โดยตรง หรือใช้บุ๊คมาร์คที่บันทึกไว้ การมีปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์โดยตรงที่สูงสามารถเป็นปัจจัยที่ส่งผลดีต่อการจัดอันดับ การมีผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์โดยตรงแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ผู้ใช้ที่รู้จักและจดจำ URL ของเว็บไซต์ได้นั้นมักเป็นผู้ใช้ที่มีความพึงพอใจในเนื้อหาและบริการของเว็บไซต์
  • 136. การเข้าชมเว็บไซต์ซ้ำ (Repeat Traffic) หมายถึงผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากกว่าหนึ่งครั้ง การมีผู้ใช้ที่กลับมาเข้าชมเว็บไซต์ซ้ำแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจ ผู้ใช้ที่กลับมาเยี่ยมชมซ้ำเป็นผู้ใช้ที่มีความพึงพอใจในเนื้อหาและบริการของเว็บไซต์ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ
  • 137. การ Pogosticking หมายถึงพฤติกรรมของผู้ใช้ที่คลิกเข้าสู่เว็บไซต์หนึ่งจากผลการค้นหาแล้วกลับไปยังหน้าผลการค้นหา (SERP) ทันที เพื่อคลิกเข้าเว็บไซต์อื่น การ Pogosticking เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเนื้อหาของเว็บไซต์ไม่ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับ
  • 138. เว็บไซต์ที่ถูกบล็อก (Blocked Sites) หมายถึงเว็บไซต์ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้เนื่องจากถูกบล็อกโดยผู้ใช้งาน เมื่อเว็บไซต์ถูกบล็อก ผู้ใช้และ Google มองว่าเว็บไซต์นั้นไม่มีคุณภาพหรือมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม การที่เว็บไซต์ถูกบล็อกบ่อยครั้งจะลดความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจของเนื้อหา ซึ่งมีผลเสียต่อการจัดอันดับ
  • 139. บุ๊กมาร์กใน Chrome (Chrome Bookmarks) เมื่อผู้ใช้บันทึกหน้าเว็บของคุณเป็นบุ๊กมาร์ก แสดงว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าและน่าสนใจ การที่มีผู้ใช้บันทึกหน้าเว็บของคุณเป็นบุ๊กมาร์กจำนวนมากจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 140. จำนวนความคิดเห็น (Number of Comments) หมายถึงจำนวนการแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้โพสต์ไว้บนหน้าเว็บของคุณ การมีความคิดเห็นจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของคุณน่าสนใจและเป็นที่สนใจของผู้ใช้ การที่ผู้ใช้แสดงความคิดเห็นและมีการโต้ตอบกันบนหน้าเว็บของคุณช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจของเนื้อหา
  • 141. เวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ (Dwell Time) หมายถึงระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้ในการเข้าชมหน้าเว็บของคุณก่อนที่จะกลับไปยังผลการค้นหา เวลาในการเข้าชมเว็บไซต์ (Dwell Time) หมายถึงระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้ในการเข้าชมหน้าเว็บของคุณก่อนที่จะกลับไปยังผลการค้นหา

กฎอัลกอริทึมพิเศษของ Google

  • 142. ความสดใหม่ของคำค้นหา (Query Deserves Freshness หรือ QDF) การมีเนื้อหาสดใหม่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการข้อมูลล่าสุด ผู้ใช้มักจะมองหาเนื้อหาที่ทันสมัยและเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
  • 143. ความหลากหลายของคำค้นหา (Query Deserves Diversity หรือ QDD) หมายถึงการที่ Google ให้ความสำคัญกับการแสดงผลการค้นหาที่มีเนื้อหาหลากหลายและครอบคลุมหลายแง่มุมของคำค้นหา เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและตรงกับความต้องการมากที่สุด การที่เนื้อหาของคุณมีความหลากหลายสามารถส่งผลดีต่อการจัดอันดับ
  • 144. ประวัติการเข้าชมของผู้ใช้ (User Browsing History) หมายถึงข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์และหน้าเว็บที่ผู้ใช้เคยเข้าชมก่อนหน้านี้ การใช้ประวัติการเข้าชมของผู้ใช้ช่วยให้ Google สามารถปรับผลการค้นหาให้ตรงกับความสนใจและความต้องการของผู้ใช้ การแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานที่ดี
  • 145. ประวัติการค้นหาของผู้ใช้ (User Search History) หมายถึงข้อมูลเกี่ยวกับคำค้นหาและการค้นหาที่ผู้ใช้เคยทำก่อนหน้านี้ การใช้ประวัติการค้นหาของผู้ใช้ช่วยให้ Google สามารถปรับปรุงความเกี่ยวข้องของผลการค้นหาได้ดียิ่งขึ้น การที่ Google เข้าใจว่าผู้ใช้เคยค้นหาอะไรและมีความสนใจในเรื่องใด จะช่วยให้ผลการค้นหามีความแม่นยำและตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น
  • 146. ฟีเจอร์สแนปเปต (Featured Snippets) คือการแสดงผลการค้นหาแบบสรุปที่ปรากฏอยู่ด้านบนของหน้าผลการค้นหา การได้รับฟีเจอร์สแนปเปตช่วยเพิ่มการมองเห็นของเว็บไซต์ เนื่องจากฟีเจอร์สแนปเปตปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของหน้าผลการค้นหา ผู้ใช้มักจะคลิกที่ฟีเจอร์สแนปเปตเพื่อหาคำตอบที่ต้องการ ฟีเจอร์สแนปเปตช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ เนื่องจากผู้ใช้ที่เห็นข้อมูลที่ตรงกับความต้องการจะคลิกที่ลิงก์เพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติม การได้รับฟีเจอร์สแนปเปตสามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น
  • 147. การกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ (Geo Targeting) หมายถึงการปรับปรุงเนื้อหาและการตั้งค่าเว็บไซต์ให้ตรงกับตำแหน่งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของผู้ใช้ เพื่อให้ผลการค้นหามีความเกี่ยวข้องและตรงกับความต้องการของผู้ใช้ในพื้นที่นั้นๆ การกำหนดเป้าหมายทางภูมิศาสตร์ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้ในพื้นที่นั้นๆ มากขึ้น Google จะมองว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องและมีคุณค่าต่อผู้ใช้ในพื้นที่นั้น
  • 148. การค้นหาอย่างปลอดภัย (Safe Search) หมายถึงฟีเจอที่ช่วยกรองเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือเนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่จากผลการค้นหา เพื่อให้ผู้ใช้ทุกวัยสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและเหมาะสม Google มองว่าเว็บไซต์ที่ไม่มีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและมีความน่าเชื่อถือ
  • 149. คีย์เวิร์ด YMYL (Your Money or Your Life) หมายถึงคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการเงิน สุขภาพ ความปลอดภัย และข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้ใช้ การใช้คีย์เวิร์ด YMYL ในเนื้อหาของคุณต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพและความน่าเชื่อถือ เนื่องจาก Google ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดเหล่านี้
  • 150. การร้องเรียน DMCA (Digital Millennium Copyright Act) หมายถึงการร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ เมื่อมีการร้องเรียน DMCA และการละเมิดลิขสิทธิ์ได้รับการยืนยัน Google อาจนำเนื้อหาที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากดัชนีการค้นหา การที่เนื้อหาถูกนำออกจากดัชนีจะส่งผลให้เว็บไซต์สูญเสียการเข้าชมและอันดับในผลการค้นหาลดลง
  • 151. ความหลากหลายของโดเมน (Domain Diversity) หมายถึงจำนวนและความหลากหลายของเว็บไซต์ที่ลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ การที่เว็บไซต์ของคุณได้รับลิงก์จากหลายโดเมนแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของคุณมีคุณค่าและน่าสนใจ การมีลิงก์จากแหล่งที่มาหลากหลายช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ
  • 152. การค้นหาเชิงธุรกรรม (Transactional Searches) หมายถึงคำค้นหาที่มีจุดประสงค์เพื่อทำการซื้อขาย หรือทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การซื้อสินค้า การจองบริการ หรือการดาวน์โหลดโปรแกรม การปรับปรุงเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาเชิงธุรกรรมช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย เมื่อผู้ใช้ค้นหาสินค้าหรือบริการที่ต้องการซื้อและพบเว็บไซต์ของคุณ พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำการซื้อขายหรือทำธุรกรรมกับเว็บไซต์ของคุณ
  • 153. การค้นหาในท้องถิ่น (Local SEO) หมายถึงการค้นหาข้อมูล สินค้า หรือบริการที่มีจุดประสงค์เพื่อใช้ในพื้นที่ใกล้เคียงกับผู้ใช้ เช่น การค้นหาร้านอาหาร โรงแรม หรือบริการต่างๆ ในบริเวณใกล้เคียง การมีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของผู้ใช้ในท้องถิ่นช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์จากผู้ใช้ในพื้นที่นั้นๆ ผู้ใช้ที่เห็นว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวข้องกับพื้นที่ของพวกเขาจะมีแนวโน้มคลิกเข้าเว็บไซต์มากขึ้น
  • 154. กล่อง Top Stories (Top Stories Box) คือส่วนหนึ่งของหน้าผลการค้นหาของ Google ที่แสดงข่าวและบทความที่มีความน่าสนใจและเป็นที่นิยมในช่วงเวลานั้นๆ การที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏในกล่อง Top Stories ช่วยเพิ่มการมองเห็นของเนื้อหา เนื่องจากกล่อง Top Stories มักปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุดของหน้าผลการค้นหา ผู้ใช้มักจะคลิกที่เนื้อหาในกล่อง Top Stories ก่อนเนื้อหาอื่นๆ
  • 155. ความชอบในแบรนด์ใหญ่ (Big Brand Preference) หมายถึงการที่ Google ให้ความสำคัญและจัดอันดับสูงกว่าให้กับเว็บไซต์ของแบรนด์ใหญ่หรือแบรนด์ที่มีชื่อเสียง เว็บไซต์ของแบรนด์ใหญ่มีแนวโน้มที่จะได้รับลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่นๆ มากมายและมีคุณภาพสูง ลิงก์เหล่านี้ช่วยเพิ่มคะแนน SEO และส่งผลให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ดีขึ้น
  • 156. ผลการค้นหาสินค้า (Shopping Results) หมายถึงการแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่ผู้ใช้ต้องการซื้อ การที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาสินค้าช่วยเพิ่มการมองเห็น เนื่องจากผู้ใช้ที่ค้นหาสินค้าจะเห็นเว็บไซต์ของคุณในตำแหน่งที่โดดเด่น ทำให้มีโอกาสคลิกเข้าไปดูสินค้าหรือบริการของคุณมากขึ้น
  • 157. ผลการค้นหารูปภาพ (Image Results) หมายถึงการแสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับรูปภาพที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา การที่รูปภาพจากเว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหารูปภาพช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับเว็บไซต์ของคุณ ผู้ใช้ที่ค้นหารูปภาพและเห็นรูปภาพของคุณมีโอกาสที่จะคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมบนเว็บไซต์ของคุณ
  • 158. Easter Egg Results หมายถึงผลการค้นหาที่มีความลับหรือเซอร์ไพรส์ซ่อนอยู่ โดย Google มักจะสร้าง Easter Egg ในผลการค้นหาเพื่อเพิ่มความสนุกและสร้างประสบการณ์ที่น่าสนใจให้กับผู้ใช้ การที่เว็บไซต์ของคุณมีเนื้อหาที่น่าสนใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้ เช่น Easter Egg ช่วยเพิ่มการมองเห็นและความสนใจจากผู้ใช้ ผู้ใช้ที่พบเจอเนื้อหาที่น่าสนใจมีแนวโน้มที่จะคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมบนเว็บไซต์ของคุณ
  • 159. ผลการค้นหาแบบเว็บไซต์เดียวสำหรับแบรนด์ (Single Site Results for Brands) หมายถึงการที่ Google แสดงผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์เดียวโดยเฉพาะ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ใช้ค้นหาชื่อแบรนด์หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์นั้นๆ การที่เว็บไซต์ของแบรนด์ได้รับการแสดงผลในรูปแบบนี้สามารถส่งผลดีต่อการจัดอันดับ
  • 160. การอัปเดตเกี่ยวกับเงินกู้ระยะสั้น (Payday Loans Update) หมายถึงการที่ Google ปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมเพื่อจัดการกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเงินกู้ระยะสั้น ซึ่งเป็นกลุ่มคำค้นหาที่มักจะมีปัญหาเรื่องสแปมและการใช้งานที่ไม่เป็นธรรม เว็บไซต์ที่พยายามใช้กลวิธีที่ไม่เหมาะสมเพื่อเพิ่มอันดับจะถูกลงโทษและลดอันดับลง
  • 161. ข้อความลิงก์ที่เป็นชื่อแบรนด์ (Brand Name Anchor Text) หมายถึงการใช้ชื่อแบรนด์เป็นข้อความที่เป็นส่วนหนึ่งของลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ การใช้ชื่อแบรนด์เป็นข้อความลิงก์ช่วยสร้างการจดจำแบรนด์ให้กับผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้เห็นชื่อแบรนด์ในลิงก์บ่อยๆ จะทำให้ผู้ใช้จดจำและรู้จักแบรนด์ของคุณมากขึ้น
  • 162. การค้นหาที่เป็นแบรนด์ (Branded Searches) หมายถึงการที่ผู้ใช้ค้นหาชื่อแบรนด์หรือคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์นั้นๆ โดยตรง การที่มีการค้นหาชื่อแบรนด์ของคุณบ่อยครั้งส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับ Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความสำคัญ การมีการค้นหาที่เป็นแบรนด์สูงช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา
  • 163. การค้นหาที่ประกอบด้วยแบรนด์และคำสำคัญ (Brand + Keyword Searches) หมายถึงการที่ผู้ใช้ค้นหาชื่อแบรนด์ร่วมกับคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์นั้น การที่มีการค้นหาชื่อแบรนด์ร่วมกับคำสำคัญบ่อยครั้งส่งสัญญาณเชิงบวกให้กับ Google ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดนั้นๆ การมีการค้นหาที่ประกอบด้วยแบรนด์และคำสำคัญสูงช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา
  • 164. เว็บไซต์มีหน้า Facebook และยอดไลค์ (Site Has Facebook Page and Likes) การมีหน้า Facebook และมียอดไลค์ที่สูงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ ผู้ใช้มองว่าเว็บไซต์ที่มีการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียและมีผู้ติดตามจำนวนมากเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือ
  • 165. เว็บไซต์มีโปรไฟล์ Twitter และผู้ติดตาม การมีโปรไฟล์ Twitter ที่มีการเคลื่อนไหวและมีผู้ติดตามที่สูงช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับเนื้อหาของเว็บไซต์ เมื่อผู้ใช้รีทวีตและมีการโต้ตอบกับเนื้อหาบน Twitter มากขึ้น เนื้อหานั้นจะถูกเผยแพร่ไปยังผู้ใช้อื่นๆ ในวงกว้าง
  • 166. การมีหน้า LinkedIn บริษัทอย่างเป็นทางการ (Official LinkedIn Company Page) ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ ผู้ใช้และลูกค้าจะมองว่าเว็บไซต์และธุรกิจของคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นมืออาชีพ
  • 167. ผู้เขียนที่เป็นที่รู้จัก (Known Authorship) ช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับเนื้อหาของคุณ ผู้ใช้ที่รู้จักและไว้วางใจในผู้เขียนจะมีแนวโน้มที่จะคลิกและอ่านเนื้อหาของคุณมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์
  • 168. ความน่าเชื่อถือของบัญชีโซเชียลมีเดีย (Legitimacy of Social Media Account) การมีบัญชีโซเชียลมีเดียที่ได้รับการยืนยัน (verified) และมีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ ผู้ใช้จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นทางการ
  • 169. การกล่าวถึงแบรนด์ในข่าวเด่น (Brand Mentions on Top Stories) การที่แบรนด์ของคุณถูกกล่าวถึงในข่าวเด่นช่วยเพิ่มการมองเห็นให้กับแบรนด์และเว็บไซต์ของคุณ ผู้ใช้ที่อ่านข่าวหรือบทความนั้นมีแนวโน้มที่จะสนใจและค้นหาแบรนด์ของคุณมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์
  • 170. การกล่าวถึงแบรนด์โดยไม่มีลิงก์ (Unlinked Brand Mentions) ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ แม้ว่าจะไม่มีลิงก์เชื่อมโยงกลับมาก็ตาม Google มองว่าแบรนด์ที่ถูกกล่าวถึงบ่อยๆ เป็นแบรนด์ที่มีความสำคัญและน่าเชื่อถือ
  • 171. สถานที่ตั้งของร้านค้าแบบอิฐและปูน (Brick and Mortar Location) การที่ธุรกิจของคุณมีสถานที่ตั้งจริงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ ผู้ใช้มองว่าธุรกิจที่มีที่ตั้งจริงมีความน่าเชื่อถือและสามารถตรวจสอบได้
ปัจจัยเกี่ยวกับแสปม

ปัจจัยสแปมบนเว็บไซต์

  • 172. การลงโทษจาก Panda (Panda Penalty) การที่เว็บไซต์ของคุณได้รับการลงโทษจาก Panda แสดงว่าเนื้อหาของคุณมีคุณภาพต่ำ ซึ่งส่งผลให้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ลดลง ผู้ใช้และ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพและไม่น่าเชื่อถือ
  • 173. ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ (Links to Bad Neighborhoods) ทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีความน่าเชื่อถือ การที่เว็บไซต์ของคุณเชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาสแปม หรือเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำจะทำให้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณลดลง
  • 174. การเปลี่ยนเส้นทาง (Redirects) หมายถึงการที่หน้าเว็บหนึ่งถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเว็บอื่น โดยอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเว็บไซต์หรือการย้ายเนื้อหา การใช้การเปลี่ยนเส้นทางมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของ Google เนื่องจากทำให้การโหลดหน้าช้าลงและผู้ใช้อาจรู้สึกสับสน ควรหลีกเลี่ยงการใช้การเปลี่ยนเส้นทางซ้อนกันหลายขั้นตอน (Redirect Chains)
  • 175. ป๊อปอัพหรือโฆษณาที่ทำให้เสียสมาธิ (Popups or “Distracting Ads”) ทำให้ผู้ใช้รู้สึกรำคาญและไม่พอใจ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ปิดเว็บไซต์ของคุณทันที การที่ผู้ใช้มีประสบการณ์ไม่ดีจากป๊อปอัพและโฆษณาเหล่านี้จะมีแนวโน้มที่จะออกจากเว็บไซต์ทันที เพิ่มอัตราการตีกลับ (Bounce Rate)
  • 176. ป๊อปอัพประเภท Interstitial หมายถึงหน้าต่างป๊อปอัพที่แสดงขึ้นมาอย่างเต็มหน้าจอระหว่างที่ผู้ใช้กำลังเรียกดูเนื้อหาหรือเปลี่ยนหน้า ทำให้ผู้ใช้รู้สึกรำคาญและไม่พอใจ เนื่องจากต้องปิดป๊อปอัพก่อนจึงจะสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้ ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้มีประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ดี อาจทำให้ผู้ใช้ตัดสินใจออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งจะทำให้อัตราการตีกลับเพิ่มขึ้น และส่งผลเสียต่อคะแนน SEO ของเว็บไซต์
  • 177. การปรับแต่งเว็บไซต์มากเกินไป (Site Over-Optimization) หมายถึงการที่เว็บไซต์ใช้เทคนิค SEO อย่างมากเกินไปเพื่อพยายามเพิ่มอันดับในผลการค้นหา การปรับแต่งเว็บไซต์มากเกินไปอาจทำให้เนื้อหาและการออกแบบเว็บไซต์ดูไม่เป็นธรรมชาติ ผู้ใช้จะมองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพและไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเว็บไซต์
  • 178. เนื้อหาที่ไม่มีความหมาย (Gibberish Content) การที่เว็บไซต์มีเนื้อหาที่ไม่มีความหมายหรือไม่มีความสัมพันธ์กับหัวข้อที่ผู้ใช้ค้นหาทำให้ผู้ใช้มองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพและไม่น่าเชื่อถือ ซึ่งส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของเว็บไซต์
  • 179. หน้า Doorway (Doorway Pages) หมายถึงหน้าเว็บที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อจัดอันดับสูงในผลการค้นหา แต่ไม่มีเนื้อหาที่มีคุณค่าหรือมีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนกับหน้าอื่น ๆ ของเว็บไซต์ การใช้หน้า Doorway ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพและไม่น่าเชื่อถือ เนื่องจากหน้าเหล่านี้มักจะไม่มีเนื้อหาที่มีประโยชน์และมุ่งเน้นที่การดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามาเท่านั้น
  • 180. โฆษณาที่แสดงผลด้านบนของหน้าจอ (Ads Above the Fold) การมีโฆษณาจำนวนมากที่แสดงผลทันทีเมื่อผู้ใช้เข้ามาในหน้าเว็บทำให้ผู้ใช้รู้สึกรำคาญและไม่พอใจ ซึ่งส่งผลให้ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้แย่ลง
  • 181. การซ่อนลิงก์พันธมิตร (Hiding Affiliate Links) การซ่อนลิงก์พันธมิตรทำให้ผู้ใช้มองว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีความโปร่งใสและไม่น่าเชื่อถือ การที่ผู้ใช้ไม่สามารถมองเห็นหรือรู้ว่าลิงก์ที่คลิกเป็นลิงก์พันธมิตรอาจทำให้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ลดลง Google ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ การซ่อนลิงก์พันธมิตรสามารถส่งสัญญาณเชิงลบให้กับ Google ว่าเว็บไซต์ของคุณพยายามหลอกลวงผู้ใช้หรือใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสม
  • 182. การอัปเดตอัลกอริทึม Fred มุ่งเน้นการลงโทษเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพต่ำ เช่น เว็บไซต์ที่มีบทความที่สร้างขึ้นเพื่อการโฆษณาหรือการทำเงินโดยไม่ได้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ การอัปเดต Fred ส่งเสริมให้เว็บไซต์มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้
  • 183. เว็บไซต์พันธมิตร (Affiliate Sites) Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพสูงและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ หากเว็บไซต์พันธมิตรของคุณเน้นการโปรโมตสินค้าและบริการโดยไม่มีเนื้อหาที่มีคุณค่า การจัดอันดับของเว็บไซต์อาจลดลง
  • 184. เนื้อหาที่สร้างโดยอัตโนมัติ (Autogenerated Content) การใช้เนื้อหาที่สร้างโดยอัตโนมัติมักจะมีคุณภาพต่ำและขาดความถูกต้อง เนื้อหาที่ไม่เป็นธรรมชาติและไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ทำให้เว็บไซต์ของคุณดูไม่น่าเชื่อถือ เนื้อหาที่สร้างโดยอัตโนมัติมักไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้เข้ามาแล้วพบว่าเนื้อหาไม่มีคุณภาพหรือไม่เกี่ยวข้อง พวกเขาจะออกจากเว็บไซต์ทันที ซึ่งจะเพิ่มอัตราการตีกลับ
  • 185. การทำ PageRank Sculpting มากเกินไป (Excess PageRank Sculpting) หมายถึงการจัดการลิงก์ภายในเว็บไซต์เพื่อควบคุมการแจกจ่าย PageRank โดยการใช้แท็ก nofollow หรือเทคนิคอื่นๆ เพื่อส่ง PageRank ไปยังบางหน้าที่ต้องการ การใช้แท็ก nofollow หรือลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติอาจทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถนำทางไปยังเนื้อหาที่ต้องการได้อย่างสะดวก ส่งผลให้ประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้แย่ลง
  • 186. ที่อยู่ IP ถูกตั้งค่าว่าเป็นสแปม (IP Address Flagged as Spam) เว็บไซต์ที่มีที่อยู่ IP ถูกตั้งค่าว่าเป็นสแปมมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกบล็อกจากการเข้าถึงโดยผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ซึ่งส่งผลให้การเข้าถึงและการมองเห็นเว็บไซต์ลดลง
  • 187. การสแปมเมตาแท็กหมายถึงการใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไปหรือใช้คำที่ไม่เกี่ยวข้องในเมตาแท็กเพื่อพยายามเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหา การที่เว็บไซต์ของคุณมีการสแปมเมตาแท็กจะส่งสัญญาณเชิงลบให้กับ Google ว่าเว็บไซต์ของคุณใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมในการพยายามเพิ่มอันดับ

ปัจจัยสแปมนอกเว็บไซต์

  • 188. เว็บไซต์ที่ถูกแฮ็ก (Hacked Site) เมื่อเว็บไซต์ถูกแฮ็ก อาจมีการแทรกมัลแวร์หรือเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเข้ามา ซึ่งสามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกบล็อกโดยผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือเครื่องมือค้นหาอื่นๆ ส่งผลให้การเข้าถึงเว็บไซต์ลดลง วิธีป้องกันและแก้ไขมีดังนี้: ตรวจสอบและอัปเดตระบบความปลอดภัย: ตรวจสอบเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอและอัปเดตระบบความปลอดภัยเพื่อป้องกันการถูกแฮ็ก สำรองข้อมูล: ทำการสำรองข้อมูลเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้หากเว็บไซต์ถูกแฮ็ก แจ้ง Google เมื่อเว็บไซต์ถูกแก้ไข: หากเว็บไซต์ถูกแฮ็กและได้รับการแก้ไขแล้ว ควรแจ้งให้ Google ทราบผ่านทาง Google Search Console เพื่อให้การจัดอันดับกลับมาเป็นปกติ
  • 189. การมีลิงก์เข้ามาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ (Unnatural Influx of Links) การที่เว็บไซต์มีลิงก์เข้ามาอย่างรวดเร็วและไม่เป็นธรรมชาติทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณกำลังพยายามใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมในการเพิ่มอันดับ ซึ่งจะลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
  • 190. การลงโทษจากอัลกอริทึม Penguin (Penguin Penalty) การที่เว็บไซต์ถูกลงโทษแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การสร้างลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือการใช้เทคนิคสแปม ซึ่งส่งผลให้ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ลดลงในสายตาของผู้ใช้และ Google
  • 191. โปรไฟล์ลิงก์ที่มีเปอร์เซ็นต์สูงของลิงก์คุณภาพต่ำ (Link Profile with High % of Low Quality Links) Google สามารถตรวจสอบโปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์และระบุลิงก์ที่มีคุณภาพต่ำ การมีเปอร์เซ็นต์สูงของลิงก์คุณภาพต่ำส่งสัญญาณเชิงลบให้กับ Google ว่าเว็บไซต์ของคุณใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมในการพยายามเพิ่มอันดับ
  • 192. ลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง (Links from Unrelated Websites) ลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์ของคุณอาจใช้กลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมในการพยายามเพิ่มอันดับ ลิงก์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องจะลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ
  • 193. การแจ้งเตือนลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ เป็นการเตือนว่าเว็บไซต์มีลิงก์ที่ไม่ถูกต้องหรือใช้กลยุทธ์ลิงก์ที่ไม่เหมาะสม การได้รับการแจ้งเตือนนี้อาจทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ลดลงอย่างมาก
  • 194. ลิงก์จากไดเรกทอรีคุณภาพต่ำ ไดเรกทอรีเหล่านี้มักไม่มีคุณภาพเนื้อหาที่ดีและสร้างลิงก์เพื่อประโยชน์ SEO เท่านั้น การมีลิงก์จากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพสามารถส่งผลเสียต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์และทำให้การเข้าชมลดลง
  • 195. ลิงก์จากวิดเจ็ต วิดเจ็ตมักถูกใช้เพื่อเพิ่มฟังก์ชันหรือข้อมูลให้กับเว็บไซต์ แต่หากมีการฝังลิงก์ในวิดเจ็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีความเกี่ยวข้องที่ชัดเจนกับเนื้อหา อาจถูกมองว่าเป็นลิงก์สแปม การใช้วิดเจ็ตเพื่อสร้างลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติอาจทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ลดลง ดังนั้นควรใช้วิดเจ็ตอย่างระมัดระวังและตรวจสอบให้แน่ใจว่าลิงก์ในวิดเจ็ตมีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์
  • 196. ลิงก์จาก IP Class C เดียวกัน การมีลิงก์จากเว็บไซต์หลายแห่งที่มี IP Class C เดียวกันอาจถูกมองว่าเป็นการพยายามสร้างเครือข่ายลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ลดลง การสร้างลิงก์จากแหล่งที่มีความหลากหลายของ IP และมีคุณภาพสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาการจัดอันดับที่ดีใน Google
  • 197. ข้อความลิงก์ที่เป็นพิษ มักประกอบด้วยคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือสแปม เช่น การพนัน ยาเสพติด หรือเนื้อหาที่ผิดกฎหมาย การมีข้อความลิงก์ที่เป็นพิษบนเว็บไซต์อาจทำให้การจัดอันดับลดลงอย่างมาก ดังนั้น การตรวจสอบและลบข้อความลิงก์ที่เป็นพิษออกจากเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์
  • 198. การเพิ่มขึ้นของลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ การมีจำนวนลิงก์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนอาจถูกมองว่าเป็นการใช้กลยุทธ์ SEO ที่ไม่เหมาะสม การเพิ่มขึ้นของลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติสามารถส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับและการแสดงผลในผลการค้นหาของเว็บไซต์ได้
  • 199. ลิงก์จากไดเรกทอรีบทความและข่าวประชาสัมพันธ์ มักถูกใช้เพื่อสร้างลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ แต่ถ้าลิงก์เหล่านี้ไม่มีคุณภาพหรือไม่มีความเกี่ยวข้อง อาจถูกมองว่าเป็นสแปม การมีลิงก์จากแหล่งที่ไม่มีคุณภาพสามารถทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ลดลง
  • 200. การดำเนินการด้วยตนเอง การดำเนินการเหล่านี้เกิดขึ้นเมื่อทีมงานของ Google พบว่ามีการละเมิดแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เช่น การใช้ลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ เนื้อหาที่สแปม หรือการใช้กลยุทธ์ SEO ที่ไม่เหมาะสม การได้รับการแจ้งเตือนการดำเนินการด้วยตนเองสามารถทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ลดลงอย่างมาก
  • 201. การขายลิงก์ เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินหรือประโยชน์อื่น ๆ เป็นการละเมิดแนวทางปฏิบัติของ Google และอาจถูกมองว่าเป็นการสร้างลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ หาก Google พบว่าเว็บไซต์มีการขายลิงก์ การจัดอันดับของเว็บไซต์อาจลดลงอย่างมาก
  • 202. Google Sandbox เว็บไซต์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวอาจถูกจำกัดการจัดอันดับในผลการค้นหาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพื่อป้องกันการใช้กลยุทธ์ SEO ที่ไม่เหมาะสมและเพื่อให้เว็บไซต์ได้สร้างความน่าเชื่อถือและเนื้อหาคุณภาพ การอยู่ใน Google Sandbox อาจทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถแสดงผลในอันดับการค้นหาในช่วงแรกได้ ดังนั้นควรเน้นการสร้างเนื้อหาคุณภาพและการปฏิบัติตามแนวทาง SEO ที่ถูกต้องเพื่อช่วยให้เว็บไซต์ผ่านพ้นช่วง Sandbox ได้อย่างรวดเร็วที่สุดและมีประสิทธิภาพในการจัดอันดับในระยะยาว
  • 203. Google Dance เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่คงที่ในระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งเกิดจากการอัปเดตอัลกอริธึมของ Google หรือการประมวลผลข้อมูลใหม่ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้เว็บไซต์มีการขึ้นหรือลงในอันดับการค้นหาอย่างรวดเร็วและบ่อยครั้ง การเข้าใจและยอมรับ Google Dance เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเจ้าของเว็บไซต์เพื่อไม่ให้วิตกกังวล และควรเน้นการสร้างเนื้อหาคุณภาพและการปฏิบัติตามแนวทาง SEO ที่ถูกต้องเพื่อรักษาอันดับในระยะยาว
  • 204. เครื่องมือ Disavow เป็นเครื่องมือที่ Google มอบให้เพื่อช่วยเจ้าของเว็บไซต์ในการจัดการกับลิงก์ที่ไม่พึงประสงค์ หากเว็บไซต์ได้รับลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือมีคุณภาพต่ำ การใช้เครื่องมือนี้สามารถช่วยบอก Google ว่าไม่ต้องการให้ลิงก์เหล่านี้มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ การใช้เครื่องมือ Disavow อย่างถูกต้องสามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ SEO ของเว็บไซต์และป้องกันการถูกลงโทษจากการมีลิงก์ที่ไม่ดีในโปรไฟล์ลิงก์ของเว็บไซต์
  • 205. คำขอพิจารณาใหม่ (Reconsideration Request) เป็นขั้นตอนที่เจ้าของเว็บไซต์สามารถใช้เพื่อขอให้ Google ตรวจสอบเว็บไซต์อีกครั้งหลังจากที่ได้รับการลงโทษหรือการแบนจากการจัดอันดับในผลการค้นหา การส่งคำขอพิจารณาใหม่สามารถช่วยให้เจ้าของเว็บไซต์ได้โอกาสอธิบายหรือแก้ไขปัญหาที่ทำให้เว็บไซต์ได้รับการลงโทษ หลังจากที่ Google ตรวจสอบและพิจารณาคำขอพิจารณาใหม่เสร็จสิ้น เจ้าของเว็บไซต์จะได้รับการแจ้งผลการพิจารณาผ่านทางเครื่องมือ Google Search Console ซึ่งอาจจะช่วยให้เว็บไซต์กลับมาสู่สภาพปกติในผลการค้นหาได้
  • 206. การใช้กลยุทธ์ลิงก์ชั่วคราว มักเกิดจากการสร้างลิงก์โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มคะแนนเว็บไซต์ในทางการค้นหา โดยไม่มีความเกี่ยวข้องหรือคุณค่าที่แท้จริงกับเนื้อหาของเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่น การแลกลิงก์ที่ไม่เหมาะสมหรือการฝังลิงก์ในความคิดเห็นของบล็อกหรือกระทู้ในเว็บบอร์ด การใช้กลยุทธ์ลิงก์เช่นนี้อาจทำให้เว็บไซต์ได้รับการลงโทษหรือลดลงในการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google ดังนั้นคุณควรเน้นการสร้างลิงก์ที่มีคุณค่าและเป็นธรรมชาติเพื่อรักษาประสิทธิภาพใน SEO ของเว็บไซต์

บทสรุปสุดท้าย

เพื่อสรุปให้เห็นภาพใหญ่ นี่คือ 8 ปัจจัยสำคัญที่สุดในการจัดอันดับของ Google ในปี 2024:

  1. เนื้อหาที่มีคุณภาพ: เนื้อหาคือพระเจ้า! สร้างเนื้อหาที่มีข้อมูลที่สร้างสรรค์และมีค่ามีประโยชน์ที่ผู้ใช้ต้องการค้นหา
  2. ลิงก์ย้อนกลับ: สร้างลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงจากเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้เพื่อเสริมความเชื่อถือของคุณ
  3. Technical SEO: ให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีความเสถียรทางเทคนิค รวดเร็ว มีความเป็นมือถือ และง่ายต่อการเข้าถึง
  4. Keyword Research: ใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องโดยเรียวร้อยในเนื้อหาของคุณ
  5. ประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้โดยทำให้เว็บไซต์ของคุณง่ายต่อการนำทาง สะอาด และมีความเป็นมือถือ
  6. การใช้ Schema Markup: นำ Schema Markup เข้ามาใช้เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น
  7. สัญญาณจาก Social Media: กระตุ้นการติดต่อและการมีส่วนร่วมจากโซเชี่บลกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของคุณ
  8. สัญญาณจากแบรนด์: สร้างชื่อเสียงและการเข้าถึงออนไลน์ที่แข็งแกร่งเพื่อปรับปรุงการจัดอันดับในการค้นหา

อ้างอิงจาก

https://backlinko.com/google-ranking-factors

https://www.monsterinsights.com/google-ranking-factors

https://www.google.com/search/howsearchworks/how-search-works/ranking-results

ติดต่อรับทำ SEO กับ OneGo

เพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณด้วยบริการรับทำ SEO คุณภาพและ SEO สายเทา จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ OneGo