On-Page SEO คือกระบวนการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของหน้าเว็บเพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของเสิร์ชเอนจิน ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา ความสำคัญของ On-Page SEO ไม่ได้จำกัดแค่การใช้คีย์เวิร์ด แต่ยังครอบคลุมถึงการปรับปรุงคุณภาพเนื้อหา การจัดการโครงสร้าง URL การใช้แท็กต่างๆ และการปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้งาน ในบทความนี้ เราจะนำเสนอเคล็ดลับวิธีทำ On-Page SEO ฉบับสมบูรณ์ที่อัพเดทล่าสุดสำหรับปี 2024 ซึ่งเป็น 1 ใน 206 ปัจจัย SEO ทำเว็บติดอันดับ Google เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกับตัวอย่างและคำแนะนำที่สามารถนำไปใช้งานได้จริง
สารบัญ
ทำไม On-Page SEO ถึงสำคัญในการทำอันดับเว็บให้สูงขึ้น?
การทำ On-page SEO มีความสำคัญเพราะเป็นการทำให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของคุณและนำข้อมูลเหล่านี้ไปสู่กระบวนการจัดทำดัชนีและการจัดอันดับ เสิร์ชเอนจิน Google พยายามที่จะเชื่อมโยงหน้าเว็บกับคีย์เวิร์ดและคำค้นหาที่ผู้ใช้พิมพ์ในช่องค้นหาผ่านองค์ประกอบของ On-page SEO คุณสามารถชี้แนะเสิร์ชเอนจิน Google ว่าคีย์เวิร์ดใดที่คุณต้องการให้หน้าเว็บของคุณติดอันดับ หัวใจหลักคือการปรับแต่งที่ทำกับหน้าเว็บ (On-Page) จะต้องช่วยให้ประสบการณ์ของผู้ใช้งานดีขึ้น
ประโยชน์ของการทำ On-Page SEO
- เพิ่มความน่าสนใจให้กับเนื้อหา: On-Page SEO ช่วยปรับปรุงคุณภาพเนื้อหาให้ตอบโจทย์ความต้องการของประผู้ใช้งาน ทำให้เนื้อหาน่าสนใจและมีคุณค่า
- ปรับปรุงการจัดการคีย์เวิร์ดได้ดีขึ้น: ช่วยให้การใช้คีย์เวิร์ดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เสิร์ชเอนจิน Google สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
- เพิ่มโอกาสติดอันดับสูงขึ้น: การปรับแต่งหน้าเว็บช่วยให้เสิร์ชเอนจิน Google สามารถรวบรวมข้อมูลและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มโอกาสในการรับ Backlink: เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาคุณภาพสูงมักจะได้รับ Backlink จากเว็บไซต์อื่น ๆ ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและทำให้อันดับดีขึ้นตามไปด้วย
- ช่วยเพิ่ม Conversion Rate: เมื่อเว็บไซต์มีโครงสร้างและเนื้อหาที่ดี จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เปลี่ยนเป็นลูกค้า
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่ได้รับการปรับปรุงตามหลัก On-Page SEO จะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของผู้ใช้งานและเสิร์ชเอนจิน
สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาว่า SEO คืออะไร?
รวบรวม 9 เทคนิควิธีการทำ On-Page SEO ให้ถูกหลัก Google และโดนใจผู้ใช้งาน
- การปรับแต่งชื่อเรื่อง (Page Title Optimization)
- การปรับแต่งคำอธิบาย (Meta Description Optimization)
- การปรับแต่งหัวข้อ H1 (H1 Tag Optimization)
- การเขียนคอนเท้นท์ให้ตรง Search Intent (Content SEO)
- การเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บ (Internal Linking)
- การปรับแต่งรูปภาพ (Image SEO)
- การปรับแต่งวิดิโอ (Video SEO)
- Google Featured Snippets
- การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้ากับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search SEO)
1. การปรับแต่งชื่อเรื่อง (Page Title Optimization)
เมื่อคุณเริ่มต้นทำ On-page SEO สิ่งแรกที่คุณควรทำคือการเพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อเรื่อง (Title Tag) แท็กชื่อมีความสำคัญอย่างมากต่อ SEO ด้วยเหตุผลสองประการแท็กชื่อจะแสดงในผลการค้นหา ดังนั้นนี่คือสิ่งที่ผู้ใช้จะเห็นก่อนที่จะเข้าชมเว็บไซต์ของคุณและอย่างที่สองคือมันยังเป็นสัญญาณสำคัญแก่ให้เสิร์ชเอนจิน Google เกี่ยวกับเนื้อหาของหน้าเว็บ
Title Tag คืออะไร?
แท็กชื่อเรื่อง (Title Tag) คือองค์ประกอบ HTML ที่ใช้กำหนดชื่อของหน้าเว็บ แท็กนี้จะปรากฏในแถบเบราว์เซอร์และแสดงในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน Google Title Tag เป็นข้อความที่สรุปเนื้อหาหลักของหน้าเว็บและช่วยให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร การใช้แท็กชื่ออย่างเหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มการมองเห็นและอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาได้
<title>....</title>
วิธีสร้าง Title Tag ที่ถูกต้องตามหลักของเสิร์ชเอนจิน
- ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง: ใส่คีย์เวิร์ดหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าเว็บไว้ในแท็กชื่อ
- ความยาวที่เหมาะสม: แท็กชื่อควรมีความยาวระหว่าง 50-60 ตัวอักษร เพื่อให้สามารถแสดงผลได้ครบถ้วนในหน้าผลการค้นหา
- ชัดเจนและกระชับ: แท็กชื่อควรสื่อความหมายได้ชัดเจนและกระชับ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้
- ใส่ชื่อแบรนด์: หากมีพื้นที่เพียงพอ ควรใส่ชื่อแบรนด์ไว้ในแท็กชื่อ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและการจดจำ
- หลีกเลี่ยงการใช้คำที่ไม่จำเป็น: ตัดคำที่ไม่จำเป็นออก เพื่อให้แท็กชื่อมีความกระชับและตรงประเด็น
- ปรับให้เหมาะสมกับผู้ใช้มือถือ: ตรวจสอบว่าแท็กชื่อสามารถแสดงผลได้ดีในอุปกรณ์มือถือ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นได้ชัดเจน
- แต่ละหน้าของเว็บไซต์ควรมีแท็กชื่อที่ไม่ซ้ำกัน: เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถแยกแยะเนื้อหาของแต่ละหน้าได้อย่างชัดเจน
- ใส่คีย์เวิร์ดไว้ที่จุดเริ่มต้นของแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มความสำคัญและความเด่นชัดของคีย์เวิร์ด
- สร้างแท็กชื่อสำหรับผู้ใช้ ไม่ใช่เพื่อเสิร์ชเอนจิน: ให้เน้นการดึงดูดและให้ข้อมูลที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้
- ใช้ตัวเลขและคำที่มีพลังดึงดูดในแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและการดึงดูด
- ใช้คำที่มีอารมณ์ในแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มการดึงดูดและความสนใจของผู้ใช้
- ใส่วงเล็บที่ท้ายแท็กชื่อ: เพื่อเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมและความน่าสนใจ
- ตั้ง URL ตามแท็กชื่อ: เพื่อให้ URL สอดคล้องกับเนื้อหาและง่ายต่อการจำ
- สร้างแท็กชื่อให้แตกต่างจากที่มีอยู่ในหน้าแรกของ Google: เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดอันดับสูงในผลการค้นหา
2. การปรับแต่งคำอธิบาย (Meta Description Optimization)
Meta Description Tag คืออะไร?
แท็กคำอธิบายเมตา (Meta Description Tag) คือองค์ประกอบ HTML ที่ใช้ในการอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับเนื้อหาของหน้าเว็บ Meta Description Tag จะปรากฏใต้แท็กชื่อในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจถึงข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเนื้อหาที่อยู่ในหน้าเว็บนั้น การใช้คำอธิบายเมตาอย่างถูกต้องสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้
<meta name="description" content="...."/>
วิธีการปรับแต่ง Meta Description เพื่อให้เหมาะกับ SEO
- ใช้คำหลัก (Keywords) อย่างเหมาะสม: การใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาอยู่หน้าสุดใน Meta Description จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าเนื้อหานั้นเกี่ยวกับอะไร และช่วยเพิ่มโอกาสที่หน้าของคุณจะปรากฏในการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
- เขียนข้อความที่น่าสนใจและดึงดูด: Meta Description ควรมีข้อความที่กระชับ ชัดเจน และน่าสนใจ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ เช่น การใช้คำกระตุ้นความสนใจ (Call to Action) หรือการถามคำถามที่ทำให้ผู้อ่านอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม
- จำกัดความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร: ควรเขียน Meta Description ที่มีความยาวไม่เกิน 160 ตัวอักษร เพราะถ้าเกินนี้ข้อความอาจถูกตัดเมื่อแสดงในผลการค้นหา ทำให้ผู้ใช้อ่านไม่ครบถ้วน
- ให้ข้อมูลที่ตรงกับเนื้อหาในหน้าเว็บ: Meta Description ควรให้ข้อมูลที่ตรงกับเนื้อหาที่ผู้ใช้จะพบในหน้าเว็บ เพื่อป้องกันการทำให้ผู้ใช้รู้สึกหลอกลวงและออกจากเว็บไซต์เร็ว (Bounce Rate)
- หลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำซ้อน: ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำซ้อนหรือการใช้คำที่ไม่มีความหมาย เพราะจะทำให้ Meta Description ดูไม่เป็นธรรมชาติและไม่น่าสนใจ
- เขียนในรูปแบบของประโยคที่สมบูรณ์: Meta Description ควรเขียนเป็นประโยคที่สมบูรณ์และเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถอ่านและเข้าใจได้ทันที
- ทดสอบและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ: ควรทำการทดสอบ Meta Description เพื่อดูว่ามีผลต่อการคลิก (CTR) อย่างไร และทำการปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- เขียน Meta Description ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า: แต่ละหน้าควรมี Meta Description ที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาที่แตกต่างกันของแต่ละหน้า
- ใส่วันที่อัพเดตล่าสุด (ถ้ามี): หากเนื้อหาในหน้านั้นมีการอัพเดตล่าสุด ควรใส่วันที่อัพเดตใน Meta Description เพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าเนื้อหานั้นทันสมัย
- ให้เหตุผลที่ผู้ใช้ควรเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ (ใส่คุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์): Meta Description ควรให้เหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมผู้ใช้ควรเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ เช่น การระบุคุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เว็บไซต์ของคุณมี
3. การปรับแต่งหัวข้อ H1 (H1 Tag Optimization)
แท็ก H1 คืออะไร?
แท็ก H1 คือ แท็ก HTML ที่ใช้ในการกำหนดหัวเรื่องหลักของหน้าเว็บเพจ แท็กนี้ถือว่าเป็นหัวเรื่องที่สำคัญที่สุดในหน้าเว็บเพจ โดยมีบทบาทในการบอกให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้งานทราบว่าเนื้อหาหลักของหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร การใช้แท็ก H1 อย่างเหมาะสมช่วยปรับปรุงการจัดอันดับ SEO และทำให้เนื้อหาดูเป็นระเบียบและเข้าใจง่ายมากขึ้นสำหรับผู้ใช้งาน
<h1>....</h1>
ความแตกต่างระหว่าง Title Tag กับ H1 คือ:
- แท็กไตเติล (Title Tag) จะแสดงในหน้าผลการค้นหา (SERPs) โดยถูกใช้เป็นหัวเรื่องหลักของตัวอย่างในผลการค้นหา
- แท็กไตเติลจะไม่แสดงให้เห็นบนหน้าเว็บเพจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของส่วนหัวของหน้า (
<header>....</header>
) และจะแสดงในชื่อบนเบราว์เซอร์ด้วย - แท็ก H1 จะแสดงให้ผู้ใช้เห็นขณะเรียกดูหน้าเว็บ
แนวทางสำหรับการใช้แท็ก H1 ให้เหมาะสมสำหรับการทำ SEO
- ใช้คำหลัก (Keywords) ในแท็ก H1: การใส่คำหลักที่เกี่ยวข้องในแท็ก H1 จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บและเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในการค้นหาที่เกี่ยวข้อง
- ใช้แท็ก H1 หนึ่งแท็กต่อหนึ่งหน้า: เพื่อความชัดเจนและให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจได้ง่ายขึ้น ควรใช้แท็ก H1 เพียงหนึ่งแท็กต่อหนึ่งหน้าเท่านั้น
- ทำให้ข้อความในแท็ก H1 กระชับและชัดเจน: ข้อความในแท็ก H1 ควรสั้น กระชับ และชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ทันที
- ใส่ H1 แท็กที่ส่วนบนของหน้า: ควรวางแท็ก H1 ไว้ในส่วนบนของหน้าเว็บ เพื่อให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้สามารถเห็นได้ทันทีเมื่อเข้ามายังหน้าเว็บ
- ใช้แท็ก H1 ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละหน้า: แต่ละหน้าควรมีแท็ก H1 ที่ไม่ซ้ำกัน เพื่อให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาที่แตกต่างกันของแต่ละหน้า
- ทำให้แท็ก H1 น่าสนใจและดึงดูด: แท็ก H1 ควรมีข้อความที่น่าสนใจและดึงดูด เพื่อให้ผู้ใช้มีความต้องการที่จะอ่านเนื้อหาต่อไปในหน้าเว็บ
- ใช้หัวข้อย่อย (H2, H3) อย่างมีประสิทธิภาพ: การใช้หัวข้อย่อยเช่นแท็ก H2, H3 จะช่วยให้การจัดระเบียบเนื้อหาดีขึ้นและทำให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- แท็ก H1 ควรเหมือนหรือแตกต่างจาก Title Tag บ้างเล็กน้อย: การที่แท็ก H1 ควรเหมือนหรือแตกต่างจาก Title Tag บ้างเล็กน้อย เพื่อให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชื่อหน้าและเนื้อหาภายใน
- ทำให้แท็ก H1 มองเห็นได้อย่างชัดเจน: ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าแท็ก H1 มองเห็นได้และไม่ถูกซ่อนจากผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเห็นและเข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้
- แท็ก H1 ควรตรงกับความตั้งใจค้นหา (Search Intent) ของผู้ใช้: การที่แท็ก H1 ตรงกับความตั้งใจของผู้ใช้ จะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้อย่างดีขึ้น
4. การเขียนคอนเท้นท์ให้ตรง Search Intent (Content SEO)
Content SEO คืออะไร?
Content SEO คือการปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน Google โดยมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์จากการค้นหาทั่วไป (Organic Search Traffic) ซึ่งการทำ Content SEO นั้นรวมถึงการเขียนและจัดโครงสร้างเนื้อหาให้สอดคล้องกับคำหลัก (Keywords) ที่ผู้ใช้ค้นหาและยังต้องมีคุณภาพสูงเพื่อดึงดูดและรักษาความสนใจของผู้ใช้ให้อยู่บนหน้าเว็บนานที่สุด
ประเภทต่างๆของคอนเท้นท์อะไรบ้าง?
- บทความบล็อก (Blog Posts): บทความบล็อกเป็นเนื้อหาที่ได้รับความนิยมและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ โดยควรมีคำหลัก (Keywords) ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาและตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
- บทความข้อมูล (Informational Articles): บทความที่ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับหัวข้อเฉพาะ เช่น วิธีการทำอะไรบ่างอย่าง, คำแนะนำ หรือข้อมูลพื้นฐานที่ผู้ใช้ค้นหา
- เอกสารคู่มือ (Guides and How-To Guides): เอกสารคู่มือเป็นเนื้อหาที่ละเอียดและครอบคลุมในหัวข้อเฉพาะ โดยมักจะให้ข้อมูลเชิงลึกหรือแนะนำวิธีการต่างๆ
- รีวิวสินค้าและบริการ (Product and Service Reviews): รีวิวสินค้าและบริการช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริง ช่วยในการตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการ
- หน้าแลนดิ้ง (Landing Pages): หน้าแลนดิ้งเป็นหน้าที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป้าหมายเฉพาะ เช่น การขายสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการเก็บข้อมูลลูกค้า ควรมีคำหลักที่ชัดเจนและมี Call to Action ที่ชัดเจน
- อินโฟกราฟิก (Infographics): อินโฟกราฟิกเป็นการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบกราฟิกที่สวยงามและเข้าใจง่าย มักใช้เพื่อสรุปข้อมูลที่ซับซ้อนให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และมักถูกแชร์ในโซเชียลมีเดีย
- วิดีโอ (Videos): หน้ารวมวิดีโอมีความนิยมสูงในปัจจุบัน สามารถใช้ในการสอน รีวิว สาธิต หรือให้ข้อมูลในรูปแบบที่มีความน่าสนใจและเข้าถึงได้ง่าย
- คำถามที่พบบ่อย (FAQs): หน้า FAQs เป็นการรวบรวมคำถามและคำตอบที่ผู้ใช้ถามบ่อยๆ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- เนื้อหาที่เกี่ยวกับข่าวสาร (News Content): เนื้อหาข่าวสารที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันที่อัพเดตรวดเร็ว ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและอัปเดต
- การสัมภาษณ์และเรื่องราว (Interviews and Case Studies): การสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญหรือการนำเสนอกรณีศึกษา เป็นเนื้อหาที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและสร้างความน่าสนใจให้กับผู้ใช้
วิธีการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับ SEO
- การวิจัยคำหลัก (Keyword Research): เริ่มต้นด้วยการวิจัยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อค้นหาคำหลักที่มีการค้นหาสูงและมีการแข่งขันต่ำ
- ใช้คำหลักในตำแหน่งสำคัญ: ใช้คำหลักในตำแหน่งสำคัญๆ เช่น
Title Tag: ควรมีคำหลักหลัก
Meta Description: ใช้คำหลักเพื่อดึงดูดผู้ใช้
หัวเรื่อง (Headings): ใช้คำหลักใน H1, H2, H3
เนื้อหา (Content): ใส่คำหลักในย่อหน้าแรกและกระจายให้ทั่วทั้งบทความอย่างเป็นธรรมชาติ - URL: ใส่คำหลักใน URL เพื่อให้เข้าใจง่าย
- ใช้คำ Long Tail Keywords ในหัวข้อย่อย: การใช้ Long Tail Keywords ในหัวข้อย่อยจะช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาที่เจาะจงมากขึ้นและเพิ่มการเข้าชมจากผู้ใช้ที่สนใจ
- ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้อง (LSI Keywords) ในเนื้อหา: การใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องในเนื้อหาจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจบริบทและความหมายของเนื้อหาได้ดีขึ้น
- ตอบสนองความตั้งใจของผู้ใช้และทำให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น: เนื้อหาควรตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของผู้ใช้ และควรทำให้ชัดเจนตั้งแต่ต้นว่าหน้านั้นเกี่ยวกับอะไร
- เขียนเนื้อหาที่มีความยาว (Long-Form Content): การเขียนเนื้อหาที่มีความยาวและมีรายละเอียดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับสูงและให้ข้อมูลที่ครบถ้วนแก่ผู้ใช้
- ใช้สารบัญ (Table of Contents): การใช้สารบัญจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำทางและค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
- ใช้ลิงก์ภายใน (Internal Links): การใช้ลิงก์ภายในที่เชื่อมโยงไปยังเนื้อหาอื่นๆ ในเว็บไซต์ของคุณช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์และช่วยเพิ่มเวลาในการอยู่บนเว็บไซต์ของผู้ใช้
- ใช้ลิงก์ภายนอก (External Links): การลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์
- สร้างเนื้อหาที่สามารถแชร์ได้: สร้างเนื้อหาที่มีความน่าสนใจและมีประโยชน์ที่ผู้ใช้อยากจะแชร์ เช่น บทความที่ให้ข้อมูลเชิงลึก วิธีการทำสิ่งต่างๆ หรือเคล็ดลับ
- อัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ: การอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าสนใจและมีความสดใหม่ ควรตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาเดิมให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ (Analytics Tools): ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics เพื่อวัดผลการปรับแต่ง SEO และดูว่าเนื้อหาไหนที่ทำงานได้ดี และเนื้อหาไหนที่ต้องการการปรับปรุง
- ทำให้เนื้อหาอ่านง่าย: ควรจัดรูปแบบเนื้อหาให้เป็นระเบียบ ใช้หัวเรื่อง ใช้ย่อหน้าสั้นๆ ใช้ตัวหนาและตัวเอียงเพื่อเน้นส่วนที่สำคัญของเนื้อหา ใช้รายการเพื่อแสดงขั้นตอน ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่าย (และขนาดใหญ่พอ) กำหนดช่องไฟให้เพียงพอ บนอุปกรณ์ทุกชนิด เพื่อให้ผู้อ่านสามารถอ่านและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- ให้ผู้ใช้มีทางเลือกกดต่อไปด้วย CTA: ควรมีการเรียกร้องปุ่มหรือฟอร์ม Call to Action ที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถทำตามขั้นตอนที่ต้องการได้ง่าย เช่น การสมัครสมาชิก การดาวน์โหลด หรือการซื้อสินค้า
5. การเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บ (Internal Linking)
Internal Linking คืออะไร?
การเชื่อมโยงลิงก์ภายใน (Internal Linking) คือกระบวนการเชื่อมโยงหน้าเว็บต่างๆ ภายในเว็บไซต์เดียวกัน โดยใช้ลิงก์เพื่อเชื่อมต่อเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กัน การลิงก์ภายในมีประโยชน์หลายประการ ได้แก่:
- ช่วยในการนำทาง (Navigation): การลิงก์ภายในช่วยให้ผู้ใช้สามารถนำทางไปยังหน้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานและทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
- ช่วยเพิ่มการเวลาอยู่บนเว็บไซต์ (Time on Site): เมื่อผู้ใช้สามารถคลิกลิงก์เพื่อไปยังหน้าอื่นๆ ที่สนใจได้ง่ายขึ้น จะช่วยเพิ่มเวลาในการอยู่บนเว็บไซต์ของผู้ใช้ ซึ่งสามารถลดอัตราการออกจากเว็บไซต์ (Bounce Rate) ได้
- ช่วยในการจัดทำโครงสร้างเว็บไซต์ (Site Structure): การลิงก์ภายในช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจโครงสร้างของเว็บไซต์ และสามารถจัดทำแผนผังเว็บไซต์ (Sitemap) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้การคืบคลานและการจัดอันดับของเสิร์ชเอนจินดีขึ้น
- ช่วยในการแจกจ่ายค่า PageRank: การลิงก์ภายในช่วยในการแจกจ่ายค่า PageRank (คะแนนความสำคัญของหน้า) ไปยังหน้าอื่นๆ ภายในเว็บไซต์ ซึ่งช่วยในการปรับปรุงอันดับของหน้าเว็บในผลการค้นหา
- ช่วยในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหา: การลิงก์ภายในช่วยให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาต่างๆ ภายในเว็บไซต์ ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเกี่ยวข้องของเนื้อหา
<a title="...." href="https://....com/">....</a>
ทำไมการ Internal Linking จึงมีความสำคัญ?
ตามที่เห็นในแผนภาพข้างบน (การลิงก์ภายในที่ดี) หน้าแรกของเว็บไซต์ลิงก์ไปยังหน้าที่สำคัญที่สุดของเว็บไซต์ จากนั้นแต่ละหน้าก็ลิงก์ไปยังหน้าอื่น ๆ สร้างโครงข่ายเล็กๆ ขึ้นมา ในระหว่างกระบวนการ Crawling and Indexing Google จะเริ่มคืบคลานจากหน้าแรกของเว็บไซต์และตามลิงก์ต่าง ๆ เพื่อค้นหาและทำดัชนีหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์เดียวกัน ลิงก์ภายในช่วยให้กระบวนการนี้เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยการชี้ให้เห็นว่าหน้าใดเป็นหน้าที่สำคัญสำหรับเว็บไซต์
งานของคุณในการทำ SEO คือการสร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรและใช้ลิงก์ภายในเพื่อแนะนำเสิร์ชเอนจินและผู้ใช้ไปยังหน้าที่มีคุณค่ามากที่สุดของเว็บไซต์ของคุณ
คำแนะนำของ Google เกี่ยวกับการลิงก์ภายใน
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับการสร้างลิงก์ภายใน
- ใช้ข้อความลิงก์ที่เหมาะสม (Anchor Text): ข้อความลิงก์ควรมีความชัดเจนและมีความหมาย ควรใช้คำหลักหรือคำที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของหน้าที่ลิงก์ไป เพื่อให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหน้าได้ดีขึ้น
- ลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง: การลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมีความสำคัญจะช่วยเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ และทำให้เสิร์ชเอนจินเห็นความเชื่อมโยงระหว่างเนื้อหาต่างๆ
- ใช้ลิงก์ในเนื้อหาหลัก: ควรใช้ลิงก์ภายในในส่วนของเนื้อหาหลัก (Main Content) ของหน้าเว็บ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่าย
- สร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่มีลำดับชั้น: การสร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่มีลำดับชั้นและการจัดการลิงก์ภายในให้สอดคล้องกับโครงสร้างนี้จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้สามารถนำทางและเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- ตรวจสอบลิงก์เสีย (Broken Links): ควรตรวจสอบและแก้ไขลิงก์ที่เสียอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้ผู้ใช้พบเจอกับหน้าที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ ซึ่งอาจทำให้ประสบการณ์การใช้งานลดลง
- ใช้ลิงก์ในข้อความคำแนะนำ (Contextual Links): การลิงก์ภายในที่อยู่ในบริบทของเนื้อหาจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องได้อย่างสะดวก
- ใช้ลิงก์ในการนำทาง (Navigation): การใช้ลิงก์ภายในในเมนูนำทางหรือแถบด้านข้าง (Sidebar) จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหน้าที่สำคัญได้ง่าย
- เพิ่มลิงก์ภายในให้มีประโยชน์ต่อประสบการณ์ของผู้ใช้: การเพิ่มลิงก์ภายในควรทำเมื่อมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น
- ไม่ควรใช้ลิงก์ภายในเกิน 15-20 ลิงก์ต่อหน้า: ควรใช้ลิงก์ภายในไม่เกิน 15-20 ลิงก์ต่อหน้าในส่วนของเนื้อหา แม้จะไม่ใช่กฎหรือแนวทางที่ชัดเจน แต่เป็นคำแนะนำที่ดี
- ใช้รายงานการลิงก์ภายในจาก Google Search Console: คุณสามารถใช้รายงานการลิงก์ภายในภายใต้ส่วน “LINKS” ในเครื่องมือ Google Search Console เพื่อค้นหาสถานะการลิงก์ภายใน (หน้าที่มีลิงก์มากที่สุด ข้อความลิงก์ที่ใช้ และข้อมูลอื่นๆ)
- จำนวนลิงก์ทั้งหมดต่อหน้า (ภายในและภายนอก) ไม่เกิน 100 ลิงก์: ควรเช็คให้แน่ใจว่าจำนวนลิงก์ทั้งหมดต่อหน้า (ทั้งภายในและภายนอก) ไม่เกิน 100 ลิงก์
6. การปรับแต่งรูปภาพ (Image SEO)
ประโยชน์ของ SEO จากการใช้ภาพในเนื้อหา
- รูปภาพทำให้เนื้อหาของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้เข้าชมมีแนวโน้มที่จะอ่านบทความของคุณมากขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่เนื้อหาที่มีภาพที่เกี่ยวข้องจะได้รับการเข้าชมมากกว่าเนื้อหาที่ไม่มีภาพถึง 94%
- ผู้อ่านของคุณมีแนวโน้มที่จะแชร์หน้าเว็บที่มีภาพบนโซเชียลมีเดีย และโพสต์ที่แชร์นั้นมีโอกาสได้รับความสนใจจากโซเชียลมีเดียมากกว่าโพสต์ที่เป็นข้อความเพียงอย่างเดียว จากการศึกษาล่าสุดพบว่าโพสต์ที่มีภาพจะได้รับการรีทวีตมากขึ้นถึง 150%
- รูปภาพทำให้คุณอธิบายแนวคิดหรือทำให้จุดสำคัญที่ต้องการเน้นแข็งแกร่งขึ้นได้ง่ายขึ้น
- รูปภาพเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ง่ายในการเสริมประสิทธิภาพ SEO ของคุณ โดยให้สัญญาณที่ถูกต้องกับเสิร์ชเอนจินเกี่ยวกับเนื้อหาของคุณผ่านทาง ALT Text ของภาพ
วิธีการปรับแต่งภาพของคุณให้เหมาะกับเสิร์ชเอนจิน
- ใช้ชื่อไฟล์ที่มีความหมาย: ควรตั้งชื่อไฟล์ภาพให้มีความหมายและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าภาพนั้นเกี่ยวกับอะไร เช่น on-page-seo-tips.jpg แทนที่จะใช้ชื่อไฟล์ทั่วไป เช่น IMG001.jpg
- บีบอัดภาพเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลด: การบีบอัดภาพจะช่วยลดขนาดไฟล์และเพิ่มความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ สามารถใช้เครื่องมือออนไลน์เช่น TinyPNG หรือ Imagify ในการบีบอัดภาพให้แสดงผลเป็น WebP
- ใช้ภาพที่มีคุณภาพสูง: ภาพที่มีคุณภาพสูงและชัดเจนจะดึงดูดความสนใจของผู้ใช้และเพิ่มประสบการณ์การใช้งาน ควรหลีกเลี่ยงภาพที่มีความละเอียดต่ำหรือไม่ชัดเจน
- ใช้ Alt Text ที่เหมาะสม: Alt Text คือข้อความที่อธิบายภาพ ใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องใน Alt Text เพื่อให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของภาพและช่วยให้ภาพของคุณมีอันดับสูงขึ้นในการค้นหา เช่น เคล็ดลับการปรับแต่ง SEO สำหรับภาพ
- ใช้คำอธิบายภาพ (Caption): คำอธิบายภาพช่วยเพิ่มข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพและช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น
- ปรับแต่งตำแหน่งของภาพ: ควรวางภาพในตำแหน่งที่เหมาะสมและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เพื่อให้ภาพมีความหมายและเสริมเนื้อหาของคุณ
- ใช้ภาพที่ตอบสนองต่อทุกอุปกรณ์ (Responsive Images): ควรใช้ภาพที่สามารถปรับขนาดและความละเอียดได้ตามอุปกรณ์ที่ผู้ใช้ใช้งาน เพื่อให้ภาพดูดีและโหลดได้รวดเร็วในทุกอุปกรณ์
- เพิ่ม Structured Data สำหรับภาพ: การใช้ Image Schema จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจและจัดทำดัชนีภาพได้ดีขึ้น
- เพิ่มแท็ก Open Graph: การใช้แท็ก Open Graph จะช่วยให้ภาพแสดงผลได้ดีเมื่อแชร์บนโซเชียลมีเดีย ซึ่งจะเพิ่มโอกาสในการได้รับการคลิกและการเข้าชม
- สร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับภาพ (Image Sitemap): แผนผังเว็บไซต์สำหรับภาพจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินค้นหาและจัดทำดัชนีภาพบนเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น สามารถสร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับภาพโดยใช้ Google Search Console
7. การปรับแต่งวิดิโอ (Video SEO)
คนชอบดูวิดีโอมากกว่าอ่านข้อความ และไม่น่าแปลกใจที่ YouTube เป็นเครื่องมือค้นหาที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก วิดีโอเช่นเดียวกับภาพมี schema markup และรูปแบบแผนผังเว็บไซต์ของตัวเอง ทั้งสองสิ่งนี้มีความสำคัญในการช่วยให้ Google เข้าใจว่าวิดีโอของคุณเกี่ยวกับอะไร เพื่อให้สามารถจัดทำดัชนีได้อย่างถูกต้องและมีโอกาสในการจัดอันดับที่สูงขึ้น
Video Schema Markup
Video Schema Markup คือการใช้โครงสร้างข้อมูล (structured data) หนึ่งในการทำ Technical SEO จาก Schema.org เพื่อให้เสิร์ชเอนจินอย่าง Google เข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับวิดีโอที่คุณนำเสนอในเว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น การใช้ Video Schema Markup คุณสามารถดูตัวอย่างการทำ Video Schema Markup ได้จากดานล่างนี้:
<script type="application/ld+json">
{
"@context": "https://schema.org",
"@type": "VideoObject",
"name": "ชื่อวิดีโอ",
"description": "คำอธิบายของวิดีโอ",
"thumbnailUrl": "https://example.com/thumbnail.jpg",
"uploadDate": "2023-01-01T08:00:00+08:00",
"duration": "PT1M33S",
"contentUrl": "https://example.com/videofile.mp4",
"embedUrl": "https://example.com/embed/videofile",
"interactionCount": "12345"
}
</script>
ข้อมูลที่ควรใส่ใน Video Schema Markup
- name: ชื่อวิดีโอ
- description: คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอ
- thumbnailUrl: URL ของภาพขนาดย่อของวิดีโอ
- uploadDate: วันที่อัปโหลดวิดีโอ
- duration: ความยาวของวิดีโอ (ในรูปแบบ ISO 8601)
- contentUrl: URL ของไฟล์วิดีโอ
- embedUrl: URL สำหรับฝังวิดีโอในหน้าเว็บ
- interactionCount: จำนวนการโต้ตอบ (เช่น จำนวนการดู)
Video Sitemaps
Video Sitemaps ช่วยให้เสิร์ชเอนจินสามารถค้นหาและทำดัชนีวิดีโอบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น โดยการเพิ่มข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับวิดีโอของคุณลงในไฟล์ XML นี่คือตัวอย่างของ Video Sitemap:
<?xml version="1.0" encoding="UTF-8"?>
<urlset xmlns="http://www.sitemaps.org/schemas/sitemap/0.9"
xmlns:video="http://www.google.com/schemas/sitemap-video/1.1">
<url>
<loc>https://example.com/videos/video1</loc>
<video:video>
<video:thumbnail_loc>https://example.com/videos/thumbs/video1.jpg</video:thumbnail_loc>
<video:title>ชื่อวิดีโอของคุณ</video:title>
<video:description>คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอของคุณ</video:description>
<video:content_loc>https://example.com/videos/video1.mp4</video:content_loc>
<video:player_loc>https://example.com/videos/player?video=video1</video:player_loc>
<video:duration>150</video:duration>
<video:publication_date>2024-01-01T08:00:00+08:00</video:publication_date>
<video:tag>SEO</video:tag>
<video:tag>วิดีโอ</video:tag>
<video:category>การศึกษา</video:category>
<video:view_count>12345</video:view_count>
</video:video>
</url>
<url>
<loc>https://example.com/videos/video2</loc>
<video:video>
<video:thumbnail_loc>https://example.com/videos/thumbs/video2.jpg</video:thumbnail_loc>
<video:title>ชื่อวิดีโอที่สองของคุณ</video:title>
<video:description>คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอที่สองของคุณ</video:description>
<video:content_loc>https://example.com/videos/video2.mp4</video:content_loc>
<video:content_loc>https://example.com/videos/player?video=video2</video:player_loc>
<video:publication_date>200</video:duration>
<video:publication_date>2024-01-15T08:00:00+08:00</video:publication_date>
<video:tag>การเรียนรู้</video:tag>
<video:view_count>วิดีโอ</video:tag>
<video:view_count>การศึกษา</video:category>
<video:view_count>54321</video:view_count>
</video:video>
</url>
</urlset>
ในตัวอย่างนี้:
- urlset: เป็นแท็กหลักที่ครอบคลุม URL ทั้งหมดในแผนผังเว็บไซต์
- url: แต่ละ URL ของหน้าวิดีโอ
- loc: ที่อยู่ URL ของหน้าวิดีโอ
- video:thumbnail_loc ที่อยู่ URL ของภาพขนาดย่อของวิดีโอ
- video:title ชื่อวิดีโอ
- video:description คำอธิบายเกี่ยวกับวิดีโอ
- video:content_loc ที่อยู่ URL ของไฟล์วิดีโอ
- video:player_loc ที่อยู่ URL สำหรับเล่นวิดีโอในตัวเล่นวิดีโอ
- video:duration ความยาวของวิดีโอในวินาที
- video:publication_date วันที่เผยแพร่วิดีโอในรูปแบบ ISO 8601
- video:tag แท็กที่เกี่ยวข้องกับวิดีโอ
- video:view_count หมวดหมู่ของวิดีโอ
- video:view_count จำนวนการดูวิดีโอ
แนวทางเทคนิคการจัดรูปแบบวิดิโอที่ดีที่สุดสำหรับการทำ SEO
- เลือกคำหลักที่เหมาะสม: เริ่มต้นด้วยการวิจัยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิดีโอ ใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อค้นหาคำหลักที่มีการค้นหาสูงและมีการแข่งขันต่ำ
- ใช้คำหลักในชื่อวิดีโอและคำอธิบาย: ควรใช้คำหลักในชื่อวิดีโอ (Title) และคำอธิบาย (Description) เพื่อช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจว่าเนื้อหาของวิดีโอเกี่ยวกับอะไร
- ใช้แท็ก (Tags) ที่เกี่ยวข้อง: ใช้แท็กที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของวิดีโอเพื่อช่วยให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้ค้นหาวิดีโอของคุณได้ง่ายขึ้น
- สร้างภาพขนาดย่อ (Thumbnail) ที่น่าสนใจ: ภาพขนาดย่อที่ดึงดูดความสนใจจะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามาดูวิดีโอของคุณ ควรใช้ภาพที่มีความละเอียดสูงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหา
- ใช้ Video Schema Markup: การใช้ Video Schema Markup จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับวิดีโอของคุณได้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มโอกาสในการแสดงผลในรูปแบบ rich snippets
- สร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับวิดีโอ (Video Sitemap): การสร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับวิดีโอจะช่วยให้เสิร์ชเอนจินค้นหาและทำดัชนีวิดีโอบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น
- เพิ่มคำบรรยาย (Subtitles) และคำบรรยายใต้ภาพ (Captions): การเพิ่มคำบรรยายและคำบรรยายใต้ภาพจะช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความต้องการพิเศษสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ดีขึ้น และช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาของวิดีโอมากขึ้น
- ใช้ลิงก์ภายใน (Internal Links) และลิงก์ภายนอก (External Links): การใช้ลิงก์ภายในและภายนอกจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติม ควรลิงก์ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องภายในเว็บไซต์และเว็บไซต์อื่น ๆ
- วิเคราะห์ผลและปรับปรุง: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics และ YouTube Analytics เพื่อติดตามผลการทำงานของวิดีโอและปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณอย่างต่อเนื่อง
- ตรวจสอบไฟล์ robots.txt: ตรวจสอบไฟล์ robots.txt และให้แน่ใจว่า Google สามารถเข้าถึงวิดีโอของคุณได้
- ตรวจสอบวันหมดอายุของวิดีโอ: ตรวจสอบวันหมดอายุของวิดีโอและให้แน่ใจว่าวันที่นี้ไม่อยู่ในอดีต
8. Google Featured Snippets
Google Featured Snippets คืออะไร?
Google Featured Snippets คือการแสดงผลพิเศษที่ Google จะแสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ตรงกับคำค้นหาของผู้ใช้ในรูปแบบของกล่องข้อมูลที่ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของผลการค้นหา (SERP) โดยไม่ต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ กล่องข้อมูลนี้มักประกอบไปด้วยข้อความสรุปที่สกัดมาจากหน้าเว็บ รูปภาพ ตาราง หรือรายชื่อ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและตรงประเด็น
รูปแบบของ Featured Snippets
Google Featured Snippets มีรูปแบบหลัก ๆ ดังนี้:
- Paragraph Snippet: ข้อความสั้น ๆ ที่สรุปคำตอบหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา
- List Snippet: รายการข้อมูลที่จัดเรียงเป็นลำดับ เช่น รายการขั้นตอนหรือรายการคำตอบ
- Table Snippet: ข้อมูลที่จัดเรียงในรูปแบบตารางเพื่อความเข้าใจง่ายและชัดเจน
- Video Snippet: คลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา โดยจะมีการแสดงตัวอย่างของวิดีโอ
ประโยชน์ของ Featured Snippets
- เพิ่มการมองเห็น: Featured Snippets ปรากฏอยู่ด้านบนสุดของหน้าผลการค้นหา ทำให้เว็บไซต์ที่มีข้อมูลในกล่องนี้มีโอกาสได้รับการมองเห็นมากขึ้น
- เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์: แม้ข้อมูลจะแสดงอยู่บนหน้าผลการค้นหา แต่ผู้ใช้ที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมยังคงคลิกเข้าไปอ่านต่อในเว็บไซต์ได้
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่มีข้อมูลปรากฏใน Featured Snippets มักถูกมองว่ามีความน่าเชื่อถือและมีคุณภาพ
วิธีการเพิ่มโอกาสในการได้รับ Featured Snippets
- สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง: เนื้อหาควรมีความชัดเจนและตรงประเด็น ตอบคำถามหรือข้อมูลที่ผู้ใช้อาจต้องการค้นหา
- ใช้หัวเรื่องและการจัดรูปแบบ: ใช้หัวเรื่อง (Headings) และการจัดรูปแบบเนื้อหาให้เป็นระเบียบและง่ายต่อการอ่าน เช่น การใช้ย่อหน้า รายการ และตาราง
- วิจัยคำหลัก: ทำการวิจัยคำหลักที่เกี่ยวข้องกับคำถามหรือข้อมูลที่ผู้ใช้อาจค้นหาและใส่คำหลักเหล่านั้นในเนื้อหา
- ตอบคำถามที่พบบ่อย: สร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามที่พบบ่อยหรือข้อมูลที่ผู้ใช้อาจค้นหาในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
9. การปรับแต่งเว็บไซต์ให้เข้ากับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search SEO)
Voice Search SEO คืออะไร?
Voice Search SEO คือการปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) ซึ่งเป็นการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตโดยใช้คำสั่งเสียงผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น สมาร์ทโฟน, ลำโพงอัจฉริยะ (Smart Speakers) และระบบผู้ช่วยเสมือน (Virtual Assistants) เช่น Google Assistant, Siri และ Alexa การปรับแต่ง SEO สำหรับการค้นหาด้วยเสียงจะช่วยเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์ของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาเมื่อผู้ใช้ทำการค้นหาด้วยเสียง
แนวทางการทำ Voice Search SEO
- ใช้ภาษาธรรมชาติและประโยคคำถาม การค้นหาด้วยเสียงมักใช้ภาษาธรรมชาติและประโยคคำถาม เช่น “ร้านอาหารใกล้ฉันมีที่ไหนบ้าง?” ดังนั้น การปรับแต่งเนื้อหาควรใช้ภาษาที่เป็นธรรมชาติและตอบคำถามที่ผู้ใช้อาจถามบ่อย ๆ
- สร้างเนื้อหาที่ตอบคำถาม เนื้อหาควรมีการตอบคำถามที่ชัดเจนและตรงประเด็น เช่น การสร้างบทความ FAQ (Frequently Asked Questions) หรือการตอบคำถามที่พบบ่อยในบทความ
- ปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์มีผลต่อการจัดอันดับในการค้นหาด้วยเสียง ควรปรับปรุงเว็บไซต์ให้โหลดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- ใช้ Structured Data การใช้ Schema Markup จะช่วยให้เสิร์ชเอนจินเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา
- เพิ่มความสำคัญให้กับเนื้อหาในท้องถิ่น (Local SEO) การค้นหาด้วยเสียงมักเป็นการค้นหาข้อมูลในท้องถิ่น เช่น ร้านอาหารใกล้เคียง ควรใช้คำหลักที่เกี่ยวข้องกับสถานที่และข้อมูลในท้องถิ่น
- ปรับแต่งหน้าเว็บให้เหมาะกับอุปกรณ์มือถือ ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักใช้สมาร์ทโฟนในการค้นหาด้วยเสียง ควรปรับแต่งหน้าเว็บให้เหมาะสมกับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ
- ใช้คำหลัก Long-tail Keywords การค้นหาด้วยเสียงมักใช้ประโยคยาวและรายละเอียดมากกว่าการค้นหาด้วยข้อความ ควรใช้ Long-tail Keywords ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
Checklist รายการตรวจสอบ On-Page SEO
✅ | ปรับแต่งหน้าแรก (Homepage) |
✅ | ปรับแต่งชื่อหน้าแรก (Optimize homepage title) |
✅ | ปรับแต่งคำอธิบายหน้าแรก (Optimize homepage description) |
✅ | ปรับแต่งแท็ก H1 ของหน้าแรก (Optimize homepage H1 tag) |
✅ | ปรับแต่งเนื้อหาหน้าแรก (Optimize homepage content) |
✅ | ปรับแต่งโลโก้ของเว็บไซต์ (Optimize site logo) |
✅ | ตรวจสอบข้อมูลโครงสร้างของหน้าแรก (Check homepage structured data) |
✅ | ปรับแต่งหน้าอื่นๆ (Other Pages) |
✅ | ปรับแต่งชื่อหน้าสำหรับทุกหน้า (Optimize page titles for all pages) |
✅ | ปรับแต่งคำอธิบายเมตาสำหรับทุกหน้า (Optimize meta descriptions for all pages) |
✅ | ปรับแต่งแท็ก H1 สำหรับทุกหน้า (Optimize the H1 tag for all pages) |
✅ | ปรับแต่งเนื้อหาสำหรับหน้าที่สำคัญทั้งหมด (SEO optimize content for ALL important pages) |
✅ | เพิ่มข้อมูลโครงสร้างในหน้าที่เกี่ยวข้อง (Add structured data on applicable pages) |
✅ | ปรับแต่งรูปภาพ (Images) |
✅ | ปรับแต่งรูปภาพทั้งหมด (Optimize ALL images – images file size and ALT text) |
✅ | สร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับรูปภาพและส่งไปยัง Google (Create a dedicated image sitemap and submit to Google) |
✅ | ตรวจสอบเว็บไซต์ (Site Check) |
✅ | ตรวจสอบความเหมาะสมสำหรับการใช้งานบนมือถือ (Check mobile-friendliness) ตามหลัก Mobile SEO |
✅ | เปิดใช้งานและกำหนดค่า SSL (Activate and configure SSL) |
✅ | ตรวจสอบและปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ (Check and optimize the site loading speed) |
✅ | จัดรูปแบบเนื้อหา (Content Formatting) |
✅ | ตรวจสอบการจัดรูปแบบเนื้อหา (Check content formatting) |
✅ | ปรับปรุงโครงสร้างการลิงก์ภายใน (Revise your internal link structure) |
✅ | ปรับแต่งชื่อและคำอธิบายสำหรับหน้าหมวดหมู่ (Optimize titles/descriptions for category pages) |
✅ | ตรวจสอบการใช้แท็กและตั้งค่า noindex หากไม่จำเป็น (Review tag usage and noindex them if not needed) |
✅ | เพิ่มแท็ก Open Graph ในเว็บไซต์ของคุณ (Add open graph tags on your website) |
✅ | ปรับแต่งวิดีโอ (Video Optimization) |
✅ | เพิ่ม Video Schema (ถ้ามี) (Add Video Schema – if applicable) |
✅ | สร้างแผนผังเว็บไซต์สำหรับวิดีโอและส่งไปยัง Google (Create a dedicated video sitemap and submit to Google) |
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
On-Page SEO คือการปรับแต่งองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ของเราเอง เช่น การใช้คีย์เวิร์ด, การจัดทำโครงสร้าง URL, การปรับปรุงเนื้อหา, และการใช้แท็ก HTML ให้สอดคล้องกับการค้นหาของผู้ใช้และการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา Google
On-Page SEO ช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งานทำให้เว็บไซต์ของคุณมีความน่าสนใจและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น
องค์ประกอบหลักของ On-Page SEO ประกอบด้วย คีย์เวิร์ด, แท็กหัวเรื่อง (H1, H2, H3), การจัดทำ URL, การเขียนเมตาแท็ก (Meta Title และ Meta Description), การใช้รูปภาพและแท็ก Alt, และการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ
ควรเลือกคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์และมีการค้นหาสูง นอกจากนี้ควรใช้คีย์เวิร์ดหลักในตำแหน่งสำคัญ เช่น หัวเรื่อง, เมตาแท็ก, และในเนื้อหา เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าใจและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น
ควรเขียนเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจสำหรับผู้อ่าน ใช้คีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสมและไม่มากเกินไป จัดทำโครงสร้างเนื้อหาด้วยหัวเรื่องและหัวข้อย่อยเพื่อให้อ่านง่าย และควรอัปเดตเนื้อหาให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ
อ้างอิงจาก
https://backlinko.com/on-page-seo
https://www.semrush.com/blog/on-page-seo
https://www.searchenginejournal.com/on-page-seo
ติดต่อรับทำ SEO กับ OneGo
เพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณด้วยบริการรับทำ SEO คุณภาพและ SEO สายเทา จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ OneGo