ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น การทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหาบน Google กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน หากใครยังไม่รู้จักว่า SEO คืออะไรและทำอย่างไร บทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับความหมายของ SEO และเคล็ดลับการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น
สารบัญ
SEO คืออะไร?
SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับแต่งและพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ปรากฏในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจินอย่าง Google เป้าหมายหลักของ SEO คือการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search) โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ซึ่งแตกต่างจาก SEM
การทำ SEO ประกอบด้วยหลายขั้นตอน เช่น การวิจัยและเลือกคำหลักที่เหมาะสม (Keyword Research) การปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง (Content Optimization) การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และการใช้งานที่ง่าย (Website Structure and Usability) และการสร้างลิงก์คุณภาพจากเว็บไซต์อื่นๆ (Link Building)
การทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้มีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายหรือการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ
ทำไมคุณควรทำ SEO?
- เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์: การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาตามคำหลักที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้การเข้าชมเว็บไซต์มีจำนวนสูงขึ้น
- ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา: เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหา คุณจะได้รับการเข้าชมฟรีจากการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search) ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click)
- สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่ปรากฏในผลการค้นหาอันดับต้นๆ มักถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพ
- เพิ่มโอกาสในการขาย: การเข้าชมที่มาจากการค้นหาที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น ทำให้มีโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้ามากขึ้น
- ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: การทำ SEO ต้องปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และเนื้อหาให้ใช้งานง่ายและมีคุณภาพ ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น
จากการสำรวจล่าสุดปี 2024 เว็บไซต์ Smartinsights แสดงให้เห็นว่าผู้คนจะคลิกเข้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆจากการทำ SEO มากกว่าเว็บไซต์ที่จ่ายเงินลงโฆษณา PPC ด้วยซ้ำ ซึ่งสามารถดูได้จากตาราง Click Through Rate (CTR) หรืออัตราการคลิกต่อจำนวนการแสดงผล และอันดับของเว็บไซต์ด้านล่างนี้:
อันดับเว็บไซต์บน Google | CTR (%) |
---|---|
โฆษณา PPC อันดับ 1 | 2.1 |
โฆษณา PPC อันดับ 2 | 1.4 |
โฆษณา PPC อันดับ 3 | 1.3 |
โฆษณา PPC อันดับ 4 | 1.2 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 1 | 39.8 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 2 | 18.7 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 3 | 10.2 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 4 | 7.2 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 5 | 5.1 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 6 | 4.4 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 7 | 3.0 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 8 | 2.1 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 9 | 1.9 |
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 10 | 1.6 |
และนี่คืออีกหนึ่งข้อมูลจากเว็บ Advancedwebranking ยิ่งอันดับเราสูงเท่าไร โอกาสที่คนจะคลิกเข้าเว็บไซต์ก็มากขึ้นตามไปด้วย
Search Engine ทำงานอย่างไร?
ก่อนที่เราจะศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทำ SEO ที่ถูกต้อง ลองมาทำความเข้าใจกันว่า เสิร์ชเอนจินอย่าง Google ทำงานอย่างไรบ้าง
Search Engine ทำงานผ่านกระบวนการหลัก 3 ขั้นตอน ได้แก่ การเก็บข้อมูล (Crawling), การจัดทำดัชนี (Indexing), และการแสดงผลการค้นหา (Ranking)
- การเก็บข้อมูล (Crawling): เสิร์ชเอนจินจะใช้โปรแกรมอัตโนมัติที่เรียกว่า “สไปเดอร์” หรือ “ครอลเลอร์” เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วอินเทอร์เน็ต โดยครอลเลอร์จะทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหา ลิงก์ และโครงสร้างของแต่ละหน้าเว็บ
- การจัดทำดัชนี (Indexing): เมื่อครอลเลอร์เก็บข้อมูลมาแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกจัดเก็บและจัดระเบียบในฐานข้อมูลของเสิร์ชเอนจิน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เรียกว่า การจัดทำดัชนี ในขั้นตอนนี้ ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่าเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นเกี่ยวข้องกับหัวข้ออะไร เพื่อเตรียมพร้อมในการแสดงผลเมื่อมีผู้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง
- การแสดงผลการค้นหา (Ranking): เมื่อผู้ใช้ทำการค้นหาโดยพิมพ์คำหลัก (Keywords) ลงในเสิร์ชเอนจิน ระบบจะทำการเปรียบเทียบคำหลักเหล่านั้นกับข้อมูลในฐานข้อมูล และจัดอันดับผลการค้นหาตามความเกี่ยวข้อง ความน่าเชื่อถือ และปัจจัยอื่นๆ เสิร์ชเอนจินจะใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการตัดสินใจว่าเว็บไซต์ใดควรปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา
การทำงานของเสิร์ชเอนจินนั้นมีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานจะได้รับข้อมูลที่ตรงตามความต้องการและมีคุณภาพสูงสุด
วิธีการทำ SEO
วิธีการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:
- การวิจัยคำหลัก (Keyword Research): เริ่มต้นด้วยการค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ คำหลักเหล่านี้ควรเป็นคำที่ผู้คนใช้ค้นหาจริงบน Google เพื่อให้คุณสามารถดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีความสนใจตรงกับธุรกิจของคุณ
- การปรับปรุงเนื้อหา (Content Optimization): เขียนและปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพสูงและมีความเกี่ยวข้องกับคำหลักที่คุณเลือก ใช้คำหลักในหัวเรื่อง (Headings), ย่อหน้าแรก, และทั่วทั้งบทความ นอกจากนี้ ควรใช้ภาพประกอบที่เกี่ยวข้องและเพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา
- การปรับโครงสร้างเว็บไซต์ (Website Structure): จัดการโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เป็นระบบและง่ายต่อการนำทาง รวมถึงการสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links) ที่เชื่อมโยงระหว่างหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
- การสร้างลิงก์ (Backlink Building): การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่มีความน่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับในผลการค้นหาของคุณ คุณสามารถทำได้โดยการสร้างเนื้อหาคุณภาพที่คนอื่นอยากแชร์ หรือติดต่อขอความร่วมมือจากเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนลิงก์
- การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience): ทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว มีการออกแบบที่ใช้งานง่าย และรองรับการใช้งานบนมือถือ เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีและอยากกลับมาใช้งานอีก
- การวิเคราะห์และติดตามผล (Analytics and Monitoring): ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics เพื่อตรวจสอบผลการทำ SEO ของคุณ วิเคราะห์ว่าหน้าเว็บไหนหรือคำหลักไหนทำงานได้ดีและปรับปรุงสิ่งที่ยังต้องการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จากขั้นตอนเบื้องต้น เราสามารถแบ่งหมวดหลักในการทำ SEO ได้ทั้งหมด 3 หมวดด้วยกันคือ: On-Page, Off-Page และ Technical
On-Page SEO
On-page SEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างภายในเว็บไซต์ของคุณให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิน เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา มีขั้นตอนสำคัญดังนี้:
- การใช้คำหลัก (Keyword Usage): เลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องและใช้คำเหล่านั้นในตำแหน่งสำคัญต่างๆ ของหน้าเว็บ เช่น หัวเรื่อง (Title), หัวข้อย่อย (Headings), เนื้อหาหลัก (Body Content), และ URL รวมถึงใช้คำหลักใน Meta Description เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้อง
- การเขียนหัวเรื่อง (Title Tags): สร้างหัวเรื่องที่น่าสนใจและมีคำหลัก โดยหัวเรื่องควรมีความยาวประมาณ 50-60 ตัวอักษร และสื่อความหมายได้ชัดเจน
- การจัดการหัวข้อย่อย (Headings Tags): ใช้แท็ก H1, H2, H3 ในการจัดการหัวข้อย่อยของเนื้อหา เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
- การปรับปรุงเนื้อหา (Content Optimization): เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความเกี่ยวข้อง โดยควรมีความยาวที่เพียงพอและครอบคลุมหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ใช้คำหลักอย่างสมดุล ไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
- การปรับปรุง URL (URL Optimization): สร้าง URL ที่สั้นและมีความหมาย รวมถึงใช้คำหลักใน URL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา
- การเพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text): ใช้คำอธิบายภาพ (Alt Text) สำหรับรูปภาพทุกภาพบนหน้าเว็บ เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถเข้าใจเนื้อหาของภาพและช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาผ่านภาพ
- การปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บ (Page Speed): ทำให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้นโดยการปรับปรุงขนาดไฟล์ภาพ ลดการใช้ JavaScript และใช้บริการโฮสติ้งที่มีคุณภาพ
- การเพิ่มลิงก์ภายใน (Internal Linking): เชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณด้วยลิงก์ภายใน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น และช่วยเพิ่มเวลาในการใช้งานเว็บไซต์
- การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience): ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย รองรับการใช้งานบนมือถือ และมีการจัดวางเนื้อหาอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดี
Off-Page SEO
Off-page SEO คือ การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์จากลิงก์ภายนอก เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับในผลการค้นหา มีขั้นตอนสำคัญดังนี้:
- การสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlink Building): การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมายังเว็บไซต์ของคุณ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับในผลการค้นหา คุณสามารถทำได้โดยการเขียนบทความแขกรับเชิญ (Guest Posts) แลกเปลี่ยนลิงก์ หรือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าที่ผู้อื่นต้องการแชร์
- การใช้งานสื่อโซเชี่ยลมีเดีย (Social Media Marketing): การแชร์เนื้อหาและโปรโมทเว็บไซต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, X, Instagram และ LinkedIn จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่การได้รับลิงก์จากผู้อื่น
- การรีวิว (Reviews and Testimonials): การได้รับรีวิวที่ดีจากลูกค้าบนเว็บไซต์รีวิว เช่น Google My Business, Wongnai, และ Trustpilot จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้เข้าชมใหม่
- การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์ (Community Engagement): การมีส่วนร่วมในฟอรัม กลุ่ม Facebook หรือชุมชนออนไลน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ จะช่วยสร้างความรู้จักและเพิ่มโอกาสในการได้รับแบ็คลิงก์
- การใช้เครื่องมือ PR ออนไลน์ (Online PR): การเผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณผ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์หรือบล็อกที่มีความน่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงได้
- การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า (Content Marketing): การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจ เช่น บทความ, อินโฟกราฟิก, วิดีโอ หรือพอดแคสต์ ที่ผู้ใช้งานต้องการแชร์ จะช่วยเพิ่มการเข้าชมและการได้รับลิงก์เพิ่มเติม
Technical SEO
Technical SEO คือ การปรับปรุงทางเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน มีขั้นตอนสำคัญดังนี้:
- การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ (Website Speed Optimization): ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นโดยการลดขนาดไฟล์ภาพ ใช้การบีบอัดไฟล์ และลดการใช้ JavaScript ที่ไม่จำเป็น เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้และทำให้เสิร์ชเอนจินจัดอันดับดีขึ้น
- การทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายบนมือถือ (Mobile-Friendly): ออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถแสดงผลได้ดีทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ โดยใช้การออกแบบแบบ Responsive Design เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายจากอุปกรณ์ทุกชนิด
- การใช้ SSL Certificate (HTTPS): ใช้โปรโตคอล HTTPS แทน HTTP เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลบนเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่มีการใช้ HTTPS จะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่าในผลการค้นหา
- การสร้างโครงสร้าง URL ที่ดี (URL Structure): ใช้ URL ที่สั้น กระชับ และมีความหมาย รวมถึงใช้คำหลักใน URL เพื่อให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น
- การสร้างแผนผังเว็บไซต์ (XML Sitemap): สร้างแผนผังเว็บไซต์และส่งไปยังเสิร์ชเอนจิน เช่น Google Search Console เพื่อช่วยให้ครอลเลอร์ของเสิร์ชเอนจินสามารถเข้าถึงและจัดทำดัชนีเนื้อหาทั้งหมดของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
- การใช้ Meta Tags ที่เหมาะสม (Meta Tags Optimization): ปรับปรุง Title Tags, Meta Descriptions และ Header Tags ให้มีคำหลักและอธิบายเนื้อหาอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องและความน่าสนใจในผลการค้นหา
- การตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด (Error Checking and Fixing): ตรวจสอบเว็บไซต์เพื่อหาและแก้ไขข้อผิดพลาด เช่น ลิงก์เสีย (Broken Links), หน้าขาด (Missing Pages), และข้อผิดพลาดของโค้ด (Code Errors) เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถจัดทำดัชนีเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง
- การใช้ Structured Data Markup: ใช้ Schema Markup เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้นและแสดงผลในรูปแบบที่มีความน่าสนใจ เช่น Rich Snippets, News Snippets หรือ Product Snippets
อัพเดตอัลกอริทึมจาก Google
ปัจจัยที่สำคัญที่คุณต้องคำนึงถึงตลอดเวลาคือการอัพเดตอัลกอริทึมของ Google ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา เพื่อปรับปรุงความแม่นยำและประสบการณ์ของผู้ใช้ ในช่วงหลังนี้ Google ได้ปรับปรุงและเน้นการใช้งานหลักการ E-E-A-T และ YMYL ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์และเนื้อหาเพื่อการจัดอันดับในการค้นหา:
E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)
E-E-A-T เป็นหลักการที่ใช้ในการประเมินคุณภาพของเนื้อหา ซึ่งประกอบด้วย:
- Experience (ประสบการณ์): การมีประสบการณ์ในการเขียนหรือสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่นำเสนอ ผู้เขียนหรือเว็บไซต์ควรมีความรู้และประสบการณ์ในด้านนั้น ๆ เพื่อให้เนื้อหามีความน่าเชื่อถือ
- Expertise (ความเชี่ยวชาญ): ความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้เขียนหรือผู้สร้างเนื้อหา เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ จะได้รับคะแนนสูงขึ้น เนื้อหาที่เชื่อถือได้มักจะมาจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ
- Authoritativeness (ความเป็นผู้มีอำนาจ): ความเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อถือจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ความน่าเชื่อถือและการได้รับการยอมรับจากสังคมจะช่วยเพิ่มคะแนนความเป็นผู้มีอำนาจให้กับเว็บไซต์
- Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ): ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และเนื้อหา ความปลอดภัยในการใช้งานเว็บไซต์ (เช่น การใช้ HTTPS), การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้, และการมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือ
YMYL (Your Money or Your Life)
YMYL หมายถึงเนื้อหาที่มีผลกระทบต่อการเงิน สุขภาพ หรือความเป็นอยู่ของผู้ใช้งาน เนื้อหาประเภทนี้ต้องมีความน่าเชื่อถือสูงและมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น:
- การเงิน: เนื้อหาที่เกี่ยวกับการเงิน เช่น การลงทุน, การให้คำปรึกษาทางการเงิน, การเงินส่วนบุคคล ต้องมาจากผู้เชี่ยวชาญและแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
- สุขภาพ: เนื้อหาที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การให้คำปรึกษาทางการแพทย์, การรักษาโรค, และข้อมูลสุขภาพทั่วไป ควรได้รับการเขียนหรือรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
- ความปลอดภัย: เนื้อหาที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้ เช่น คำแนะนำด้านความปลอดภัย, การป้องกันการหลอกลวง, และการรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัล ควรมาจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
- กฎหมาย: เนื้อหาที่เกี่ยวกับกฎหมาย เช่น การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย, การตีความกฎหมาย, และข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมาย ต้องมาจากผู้เชี่ยวชาญหรือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
การปฏิบัติตามหลักการ E-E-A-T และ YMYL จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google และสร้างความเชื่อถือให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว อัพเดตที่น่าสนใจอื่นๆเกี่ยวกับอัลกอริทึมมีดังต่อไปนี้:
- Google Core Update: อัปเดตแกนหลักของ Google ที่มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในวงกว้าง อัปเดตนี้จะพิจารณาคุณภาพของเนื้อหา ความเกี่ยวข้อง และประสบการณ์ผู้ใช้ เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้งานจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น
- Page Experience Update: อัปเดตนี้เน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้เมื่อเข้าชมเว็บไซต์ Google จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed), การตอบสนองบนมือถือ (Mobile Usability), การรักษาความปลอดภัย (HTTPS), และการใช้งานที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย (Safe Browsing & Intrusive Interstitials)
- Core Web Vitals: เป็นส่วนหนึ่งของ Page Experience Update ที่ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดหลัก ได้แก่ LCP (Largest Contentful Paint) วัดความเร็วในการโหลดของเนื้อหาหลัก, FID (First Input Delay) วัดการตอบสนองของหน้าเว็บต่อการกระทำแรกของผู้ใช้, และ CLS (Cumulative Layout Shift) วัดความเสถียรของการจัดวางเนื้อหาบนหน้าเว็บ
- Product Reviews Update: อัปเดตนี้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพของรีวิวสินค้า เว็บไซต์ที่มีรีวิวสินค้าที่มีคุณภาพ มีรายละเอียด และให้ข้อมูลเชิงลึกจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า
- Passage Ranking: อัลกอริทึมนี้ช่วยให้ Google สามารถจัดอันดับบทความที่มีเนื้อหายาวและหลากหลายหัวข้อได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถจัดอันดับส่วนของบทความที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาเฉพาะได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมด
- Spam Update: อัปเดตนี้เป็นการต่อสู้กับสแปมและการโกง SEO Google จะลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคการโกง เช่น การยัดคำหลัก (Keyword Stuffing), การใช้ลิงก์ไม่เป็นธรรมชาติ, และการสร้างเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ
- MUM (Multitask Unified Model): เป็นเทคโนโลยี AI ใหม่ที่ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและคำค้นหาที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น MUM สามารถวิเคราะห์และตอบคำถามที่ซับซ้อนและต้องการข้อมูลจากหลากหลายแหล่งได้ในเวลาเดียวกัน
คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัพเดตอัลกอริทึมได้ที่ SearchEngineJournal
ปัจจัยการทำ SEO ฉบับสมบูรณ์ อัพเดตปี 2024
สำหรับคนที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยการทำ SEO ทางเราได้รวบรวมมาแล้วทั้งหมด 206 ปัจจัยเทคนิคทำเว็บติดอันดับ Google ลองอ่านกันได้เลย:
สรุปหัวใจหลักของการทำ SEO
คุณจะเห็นได้จากการอัพเดตอัลกอริทึมต่างๆว่าหัวใจหลักของการทำ SEO คือการทำเนื้อหาให้มีคุณภาพและเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริง ซึ่งการทำเนื้อหาให้มีคุณภาพนั้นมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
1. เนื้อหาที่มีคุณค่าต่อผู้อ่าน
เนื้อหาที่ดีควรเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การวิจัยคำหลัก (Keyword Research) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ เพื่อหาแนวทางในการเขียนเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยคำหลักเหล่านี้ควรถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสมในเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา
2. ความชัดเจนและเข้าใจง่าย
เนื้อหาควรเขียนอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและหลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไปจะช่วยให้เนื้อหาน่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
3. ความน่าเชื่อถือและถูกต้อง
การอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาและเว็บไซต์ของคุณ การนำเสนอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในสาขานั้น ๆ จะช่วยให้เนื้อหามีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
4. ความสดใหม่และการอัปเดตเนื้อหา
การอัปเดตเนื้อหาเป็นประจำเพื่อให้ทันกับข้อมูลล่าสุดและเทรนด์ใหม่ ๆ เป็นสิ่งสำคัญ การมีเนื้อหาที่สดใหม่จะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์ของคุณมีการดูแลและให้ข้อมูลที่ทันสมัย
5. การใช้สื่อที่หลากหลาย
การใช้รูปภาพ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือสื่ออื่น ๆ ในเนื้อหาจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและทำให้เนื้อหามีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้นและเพิ่มเวลาการอยู่ในหน้าเว็บไซต์
6. การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)
เนื้อหาควรจะถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและมีการนำทางที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย การออกแบบหน้าเว็บที่ใช้งานง่ายและโหลดเร็วจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้และลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate)
7. การสร้างลิงก์ภายในและภายนอก (Internal and External Linking)
การสร้างลิงก์ภายในจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ส่วนการสร้างลิงก์ภายนอกไปยังแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเนื้อหาและเว็บไซต์
การทำเนื้อหาให้มีคุณภาพและเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริงเป็นหัวใจหลักของการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ การมุ่งเน้นที่คุณภาพและความต้องการของผู้ใช้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา และสร้างความเชื่อถือให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา
SEO มีความสำคัญเพราะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์โดยเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์จะปรากฏในผลการค้นหาสูง ทำให้มีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายหรือการรับรู้แบรนด์
SEO มีความสำคัญเพราะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์โดยเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์จะปรากฏในผลการค้นหาสูง ทำให้มีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายหรือการรับรู้แบรนด์
การทำ SEO เริ่มด้วยการวิเคราะห์และปรับปรุงหลายๆ ด้านของเว็บไซต์ เช่น การใช้คำสำคัญ (keywords), การสร้างเนื้อหาคุณภาพ, การสร้างลิงก์เชื่อมโยง (backlinks), และการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์
SEO เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา ผลลัพธ์ของการทำ SEO อาจใช้เวลาหลายเดือน (อย่างน้อย 3 เดือน) ถึงจะเห็นผล เนื่องจากการปรับปรุงเว็บไซต์และการสร้างลิงก์ต้องใช้เวลาในการที่ Google จะ index และนำข้อมูลนั้นไปจัดอันดับเว็บของคุณ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ SEO
อ้างอิงจาก
https://backlinko.com/hub/seo/what-is-seo
https://neilpatel.com/what-is-seo
ติดต่อรับทำ SEO กับ OneGo
เพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณด้วยบริการรับทำ SEO คุณภาพและ SEO สายเทา จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ OneGo