SEO คืออะไร? อธิบายง่ายๆเข้าใจได้ทุกคนพร้อมเทคนิคติดอันดับ Google ล่าสุดปี 2024

Marketing, SEO

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น การทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในหน้าแรกของผลการค้นหาบน Google กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างยั่งยืน หากใครยังไม่รู้จักว่า SEO คืออะไรและทำอย่างไร บทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับความหมายของ SEO และเคล็ดลับการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น

SEO คืออะไร?

SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับแต่งและพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้ปรากฏในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจินอย่าง Google เป้าหมายหลักของ SEO คือการเพิ่มปริมาณและคุณภาพของผู้เข้าชมเว็บไซต์ผ่านการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search) โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ซึ่งแตกต่างจาก SEM

การทำ SEO ประกอบด้วยหลายขั้นตอน เช่น การวิจัยและเลือกคำหลักที่เหมาะสม (Keyword Research) การปรับปรุงเนื้อหาให้มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง (Content Optimization) การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และการใช้งานที่ง่าย (Website Structure and Usability) และการสร้างลิงก์คุณภาพจากเว็บไซต์อื่นๆ (Link Building)

การทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้มีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายหรือการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ

SEO Vs SEM

ทำไมคุณควรทำ SEO?

  1. เพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์: การทำ SEO จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาตามคำหลักที่เกี่ยวข้อง ซึ่งทำให้การเข้าชมเว็บไซต์มีจำนวนสูงขึ้น
  2. ลดค่าใช้จ่ายในการโฆษณา: เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหา คุณจะได้รับการเข้าชมฟรีจากการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search) ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาแบบ PPC (Pay-Per-Click)
  3. สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่ปรากฏในผลการค้นหาอันดับต้นๆ มักถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและมีคุณภาพ
  4. เพิ่มโอกาสในการขาย: การเข้าชมที่มาจากการค้นหาที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น ทำให้มีโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมเป็นลูกค้ามากขึ้น
  5. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้: การทำ SEO ต้องปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และเนื้อหาให้ใช้งานง่ายและมีคุณภาพ ซึ่งส่งผลให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีขึ้น

จากการสำรวจล่าสุดปี 2024 เว็บไซต์ Smartinsights แสดงให้เห็นว่าผู้คนจะคลิกเข้าเว็บไซต์ที่ติดอันดับต้นๆจากการทำ SEO มากกว่าเว็บไซต์ที่จ่ายเงินลงโฆษณา PPC ด้วยซ้ำ ซึ่งสามารถดูได้จากตาราง Click Through Rate (CTR) หรืออัตราการคลิกต่อจำนวนการแสดงผล และอันดับของเว็บไซต์ด้านล่างนี้:

อันดับเว็บไซต์บน GoogleCTR (%)
โฆษณา PPC อันดับ 12.1
โฆษณา PPC อันดับ 21.4
โฆษณา PPC อันดับ 31.3
โฆษณา PPC อันดับ 41.2
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 139.8
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 218.7
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 310.2
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 47.2
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 55.1
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 64.4
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 73.0
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 82.1
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 91.9
ผลลัพธ์ Organic อันดับ 101.6

และนี่คืออีกหนึ่งข้อมูลจากเว็บ Advancedwebranking ยิ่งอันดับเราสูงเท่าไร โอกาสที่คนจะคลิกเข้าเว็บไซต์ก็มากขึ้นตามไปด้วย

SEO CTR

Search Engine ทำงานอย่างไร?

ก่อนที่เราจะศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทำ SEO ที่ถูกต้อง ลองมาทำความเข้าใจกันว่า เสิร์ชเอนจินอย่าง Google ทำงานอย่างไรบ้าง

Search Engine ทำงานผ่านกระบวนการหลัก 3 ขั้นตอน ได้แก่ การเก็บข้อมูล (Crawling), การจัดทำดัชนี (Indexing), และการแสดงผลการค้นหา (Ranking)

  1. การเก็บข้อมูล (Crawling): เสิร์ชเอนจินจะใช้โปรแกรมอัตโนมัติที่เรียกว่า “สไปเดอร์” หรือ “ครอลเลอร์” เพื่อสำรวจและเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วอินเทอร์เน็ต โดยครอลเลอร์จะทำการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อหา ลิงก์ และโครงสร้างของแต่ละหน้าเว็บ
  2. การจัดทำดัชนี (Indexing): เมื่อครอลเลอร์เก็บข้อมูลมาแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกจัดเก็บและจัดระเบียบในฐานข้อมูลของเสิร์ชเอนจิน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เรียกว่า การจัดทำดัชนี ในขั้นตอนนี้ ข้อมูลจะถูกวิเคราะห์และทำความเข้าใจว่าเนื้อหาของหน้าเว็บนั้นเกี่ยวข้องกับหัวข้ออะไร เพื่อเตรียมพร้อมในการแสดงผลเมื่อมีผู้ค้นหาคำที่เกี่ยวข้อง
  3. การแสดงผลการค้นหา (Ranking): เมื่อผู้ใช้ทำการค้นหาโดยพิมพ์คำหลัก (Keywords) ลงในเสิร์ชเอนจิน ระบบจะทำการเปรียบเทียบคำหลักเหล่านั้นกับข้อมูลในฐานข้อมูล และจัดอันดับผลการค้นหาตามความเกี่ยวข้อง ความน่าเชื่อถือ และปัจจัยอื่นๆ เสิร์ชเอนจินจะใช้อัลกอริทึมที่ซับซ้อนในการตัดสินใจว่าเว็บไซต์ใดควรปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา

การทำงานของเสิร์ชเอนจินนั้นมีความซับซ้อนและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานจะได้รับข้อมูลที่ตรงตามความต้องการและมีคุณภาพสูงสุด

Search Engine ทำงานอย่างไร

วิธีการทำ SEO

วิธีการทำ SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน โดยมีขั้นตอนหลักๆ ดังนี้:

  1. การวิจัยคำหลัก (Keyword Research): เริ่มต้นด้วยการค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาของคุณ คำหลักเหล่านี้ควรเป็นคำที่ผู้คนใช้ค้นหาจริงบน Google เพื่อให้คุณสามารถดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่มีความสนใจตรงกับธุรกิจของคุณ
  2. การปรับปรุงเนื้อหา (Content Optimization): เขียนและปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพสูงและมีความเกี่ยวข้องกับคำหลักที่คุณเลือก ใช้คำหลักในหัวเรื่อง (Headings), ย่อหน้าแรก, และทั่วทั้งบทความ นอกจากนี้ ควรใช้ภาพประกอบที่เกี่ยวข้องและเพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text) เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา
  3. การปรับโครงสร้างเว็บไซต์ (Website Structure): จัดการโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เป็นระบบและง่ายต่อการนำทาง รวมถึงการสร้างลิงก์ภายใน (Internal Links) ที่เชื่อมโยงระหว่างหน้าต่างๆ ของเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้และเสิร์ชเอนจินสามารถเข้าถึงเนื้อหาต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
  4. การสร้างลิงก์ (Backlink Building): การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่มีความน่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับในผลการค้นหาของคุณ คุณสามารถทำได้โดยการสร้างเนื้อหาคุณภาพที่คนอื่นอยากแชร์ หรือติดต่อขอความร่วมมือจากเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนลิงก์
  5. การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience): ทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว มีการออกแบบที่ใช้งานง่าย และรองรับการใช้งานบนมือถือ เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดีและอยากกลับมาใช้งานอีก
  6. การวิเคราะห์และติดตามผล (Analytics and Monitoring): ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics เพื่อตรวจสอบผลการทำ SEO ของคุณ วิเคราะห์ว่าหน้าเว็บไหนหรือคำหลักไหนทำงานได้ดีและปรับปรุงสิ่งที่ยังต้องการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

จากขั้นตอนเบื้องต้น เราสามารถแบ่งหมวดหลักในการทำ SEO ได้ทั้งหมด 3 หมวดด้วยกันคือ: On-Page, Off-Page และ Technical

On-page Off-Page Technical

On-Page SEO

On-page SEO คือ การปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างภายในเว็บไซต์ของคุณให้มีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิน เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา มีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

  1. การใช้คำหลัก (Keyword Usage): เลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องและใช้คำเหล่านั้นในตำแหน่งสำคัญต่างๆ ของหน้าเว็บ เช่น หัวเรื่อง (Title), หัวข้อย่อย (Headings), เนื้อหาหลัก (Body Content), และ URL รวมถึงใช้คำหลักใน Meta Description เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้อง
  2. การเขียนหัวเรื่อง (Title Tags): สร้างหัวเรื่องที่น่าสนใจและมีคำหลัก โดยหัวเรื่องควรมีความยาวประมาณ 50-60 ตัวอักษร และสื่อความหมายได้ชัดเจน
  3. การจัดการหัวข้อย่อย (Headings Tags): ใช้แท็ก H1, H2, H3 ในการจัดการหัวข้อย่อยของเนื้อหา เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถเข้าใจโครงสร้างเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
  4. การปรับปรุงเนื้อหา (Content Optimization): เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีความเกี่ยวข้อง โดยควรมีความยาวที่เพียงพอและครอบคลุมหัวข้อที่เกี่ยวข้อง ใช้คำหลักอย่างสมดุล ไม่ให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไป
  5. การปรับปรุง URL (URL Optimization): สร้าง URL ที่สั้นและมีความหมาย รวมถึงใช้คำหลักใน URL เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา
  6. การเพิ่มคำอธิบายภาพ (Alt Text): ใช้คำอธิบายภาพ (Alt Text) สำหรับรูปภาพทุกภาพบนหน้าเว็บ เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถเข้าใจเนื้อหาของภาพและช่วยเพิ่มโอกาสในการค้นหาผ่านภาพ
  7. การปรับปรุงความเร็วของหน้าเว็บ (Page Speed): ทำให้หน้าเว็บโหลดเร็วขึ้นโดยการปรับปรุงขนาดไฟล์ภาพ ลดการใช้ JavaScript และใช้บริการโฮสติ้งที่มีคุณภาพ
  8. การเพิ่มลิงก์ภายใน (Internal Linking): เชื่อมโยงเนื้อหาภายในเว็บไซต์ของคุณด้วยลิงก์ภายใน เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้ง่ายขึ้น และช่วยเพิ่มเวลาในการใช้งานเว็บไซต์
  9. การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience): ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย รองรับการใช้งานบนมือถือ และมีการจัดวางเนื้อหาอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้ผู้ใช้งานมีประสบการณ์ที่ดี

Off-Page SEO

Off-page SEO คือ การปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์จากลิงก์ภายนอก เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับในผลการค้นหา มีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

  1. การสร้างลิงก์ย้อนกลับ (Backlink Building): การได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมายังเว็บไซต์ของคุณ จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับในผลการค้นหา คุณสามารถทำได้โดยการเขียนบทความแขกรับเชิญ (Guest Posts) แลกเปลี่ยนลิงก์ หรือการสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าที่ผู้อื่นต้องการแชร์
  2. การใช้งานสื่อโซเชี่ยลมีเดีย (Social Media Marketing): การแชร์เนื้อหาและโปรโมทเว็บไซต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ เช่น Facebook, X, Instagram และ LinkedIn จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่การได้รับลิงก์จากผู้อื่น
  3. การรีวิว (Reviews and Testimonials): การได้รับรีวิวที่ดีจากลูกค้าบนเว็บไซต์รีวิว เช่น Google My Business, Wongnai, และ Trustpilot จะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและดึงดูดผู้เข้าชมใหม่
  4. การสร้างการมีส่วนร่วมในชุมชนออนไลน์ (Community Engagement): การมีส่วนร่วมในฟอรัม กลุ่ม Facebook หรือชุมชนออนไลน์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ จะช่วยสร้างความรู้จักและเพิ่มโอกาสในการได้รับแบ็คลิงก์
  5. การใช้เครื่องมือ PR ออนไลน์ (Online PR): การเผยแพร่ข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณผ่านเว็บไซต์ข่าวออนไลน์หรือบล็อกที่มีความน่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มการมองเห็นและการเข้าถึงได้
  6. การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่า (Content Marketing): การสร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและน่าสนใจ เช่น บทความ, อินโฟกราฟิก, วิดีโอ หรือพอดแคสต์ ที่ผู้ใช้งานต้องการแชร์ จะช่วยเพิ่มการเข้าชมและการได้รับลิงก์เพิ่มเติม

Technical SEO

Technical SEO คือ การปรับปรุงทางเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาของเสิร์ชเอนจิน มีขั้นตอนสำคัญดังนี้:

  1. การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ (Website Speed Optimization): ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นโดยการลดขนาดไฟล์ภาพ ใช้การบีบอัดไฟล์ และลดการใช้ JavaScript ที่ไม่จำเป็น เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้และทำให้เสิร์ชเอนจินจัดอันดับดีขึ้น
  2. การทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่ายบนมือถือ (Mobile-Friendly): ออกแบบเว็บไซต์ให้สามารถแสดงผลได้ดีทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือ โดยใช้การออกแบบแบบ Responsive Design เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายจากอุปกรณ์ทุกชนิด
  3. การใช้ SSL Certificate (HTTPS): ใช้โปรโตคอล HTTPS แทน HTTP เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการรับส่งข้อมูลบนเว็บไซต์ เว็บไซต์ที่มีการใช้ HTTPS จะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่าในผลการค้นหา
  4. การสร้างโครงสร้าง URL ที่ดี (URL Structure): ใช้ URL ที่สั้น กระชับ และมีความหมาย รวมถึงใช้คำหลักใน URL เพื่อให้เสิร์ชเอนจินและผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น
  5. การสร้างแผนผังเว็บไซต์ (XML Sitemap): สร้างแผนผังเว็บไซต์และส่งไปยังเสิร์ชเอนจิน เช่น Google Search Console เพื่อช่วยให้ครอลเลอร์ของเสิร์ชเอนจินสามารถเข้าถึงและจัดทำดัชนีเนื้อหาทั้งหมดของเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้น
  6. การใช้ Meta Tags ที่เหมาะสม (Meta Tags Optimization): ปรับปรุง Title Tags, Meta Descriptions และ Header Tags ให้มีคำหลักและอธิบายเนื้อหาอย่างชัดเจน เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องและความน่าสนใจในผลการค้นหา
  7. การตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาด (Error Checking and Fixing): ตรวจสอบเว็บไซต์เพื่อหาและแก้ไขข้อผิดพลาด เช่น ลิงก์เสีย (Broken Links), หน้าขาด (Missing Pages), และข้อผิดพลาดของโค้ด (Code Errors) เพื่อให้เสิร์ชเอนจินสามารถจัดทำดัชนีเว็บไซต์ได้อย่างถูกต้อง
  8. การใช้ Structured Data Markup: ใช้ Schema Markup เพื่อให้ Google เข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดียิ่งขึ้นและแสดงผลในรูปแบบที่มีความน่าสนใจ เช่น Rich Snippets, News Snippets หรือ Product Snippets

อัพเดตอัลกอริทึมจาก Google

ปัจจัยที่สำคัญที่คุณต้องคำนึงถึงตลอดเวลาคือการอัพเดตอัลกอริทึมของ Google ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา เพื่อปรับปรุงความแม่นยำและประสบการณ์ของผู้ใช้ ในช่วงหลังนี้ Google ได้ปรับปรุงและเน้นการใช้งานหลักการ E-E-A-T และ YMYL ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์และเนื้อหาเพื่อการจัดอันดับในการค้นหา:

E-E-A-T (Experience, Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness)

E-E-A-T เป็นหลักการที่ใช้ในการประเมินคุณภาพของเนื้อหา ซึ่งประกอบด้วย:

  1. Experience (ประสบการณ์): การมีประสบการณ์ในการเขียนหรือสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่นำเสนอ ผู้เขียนหรือเว็บไซต์ควรมีความรู้และประสบการณ์ในด้านนั้น ๆ เพื่อให้เนื้อหามีความน่าเชื่อถือ
  2. Expertise (ความเชี่ยวชาญ): ความรู้ความเชี่ยวชาญของผู้เขียนหรือผู้สร้างเนื้อหา เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ จะได้รับคะแนนสูงขึ้น เนื้อหาที่เชื่อถือได้มักจะมาจากผู้ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ
  3. Authoritativeness (ความเป็นผู้มีอำนาจ): ความเป็นที่ยอมรับและได้รับความเชื่อถือจากแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ความน่าเชื่อถือและการได้รับการยอมรับจากสังคมจะช่วยเพิ่มคะแนนความเป็นผู้มีอำนาจให้กับเว็บไซต์
  4. Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ): ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์และเนื้อหา ความปลอดภัยในการใช้งานเว็บไซต์ (เช่น การใช้ HTTPS), การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้, และการมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจน จะช่วยเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือ
EEAT

YMYL (Your Money or Your Life)

YMYL หมายถึงเนื้อหาที่มีผลกระทบต่อการเงิน สุขภาพ หรือความเป็นอยู่ของผู้ใช้งาน เนื้อหาประเภทนี้ต้องมีความน่าเชื่อถือสูงและมาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น:

  1. การเงิน: เนื้อหาที่เกี่ยวกับการเงิน เช่น การลงทุน, การให้คำปรึกษาทางการเงิน, การเงินส่วนบุคคล ต้องมาจากผู้เชี่ยวชาญและแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
  2. สุขภาพ: เนื้อหาที่เกี่ยวกับสุขภาพ เช่น การให้คำปรึกษาทางการแพทย์, การรักษาโรค, และข้อมูลสุขภาพทั่วไป ควรได้รับการเขียนหรือรับรองโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์หรือแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
  3. ความปลอดภัย: เนื้อหาที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้ใช้ เช่น คำแนะนำด้านความปลอดภัย, การป้องกันการหลอกลวง, และการรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัล ควรมาจากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
  4. กฎหมาย: เนื้อหาที่เกี่ยวกับกฎหมาย เช่น การให้คำปรึกษาด้านกฎหมาย, การตีความกฎหมาย, และข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ทางกฎหมาย ต้องมาจากผู้เชี่ยวชาญหรือแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้
Your Money Your Life

การปฏิบัติตามหลักการ E-E-A-T และ YMYL จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google และสร้างความเชื่อถือให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว อัพเดตที่น่าสนใจอื่นๆเกี่ยวกับอัลกอริทึมมีดังต่อไปนี้:

  1. Google Core Update: อัปเดตแกนหลักของ Google ที่มีผลต่อการจัดอันดับเว็บไซต์ในวงกว้าง อัปเดตนี้จะพิจารณาคุณภาพของเนื้อหา ความเกี่ยวข้อง และประสบการณ์ผู้ใช้ เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่ดีและตอบโจทย์ผู้ใช้งานจะได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้น
  2. Page Experience Update: อัปเดตนี้เน้นไปที่ประสบการณ์ของผู้ใช้เมื่อเข้าชมเว็บไซต์ Google จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Speed), การตอบสนองบนมือถือ (Mobile Usability), การรักษาความปลอดภัย (HTTPS), และการใช้งานที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย (Safe Browsing & Intrusive Interstitials)
  3. Core Web Vitals: เป็นส่วนหนึ่งของ Page Experience Update ที่ประกอบด้วย 3 ตัวชี้วัดหลัก ได้แก่ LCP (Largest Contentful Paint) วัดความเร็วในการโหลดของเนื้อหาหลัก, FID (First Input Delay) วัดการตอบสนองของหน้าเว็บต่อการกระทำแรกของผู้ใช้, และ CLS (Cumulative Layout Shift) วัดความเสถียรของการจัดวางเนื้อหาบนหน้าเว็บ
  4. Product Reviews Update: อัปเดตนี้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพของรีวิวสินค้า เว็บไซต์ที่มีรีวิวสินค้าที่มีคุณภาพ มีรายละเอียด และให้ข้อมูลเชิงลึกจะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่า
  5. Passage Ranking: อัลกอริทึมนี้ช่วยให้ Google สามารถจัดอันดับบทความที่มีเนื้อหายาวและหลากหลายหัวข้อได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถจัดอันดับส่วนของบทความที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาเฉพาะได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเนื้อหาทั้งหมด
  6. Spam Update: อัปเดตนี้เป็นการต่อสู้กับสแปมและการโกง SEO Google จะลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคการโกง เช่น การยัดคำหลัก (Keyword Stuffing), การใช้ลิงก์ไม่เป็นธรรมชาติ, และการสร้างเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ
  7. MUM (Multitask Unified Model): เป็นเทคโนโลยี AI ใหม่ที่ช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาและคำค้นหาที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น MUM สามารถวิเคราะห์และตอบคำถามที่ซับซ้อนและต้องการข้อมูลจากหลากหลายแหล่งได้ในเวลาเดียวกัน

คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัพเดตอัลกอริทึมได้ที่ SearchEngineJournal

ปัจจัยการทำ SEO ฉบับสมบูรณ์ อัพเดตปี 2024

สำหรับคนที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยการทำ SEO ทางเราได้รวบรวมมาแล้วทั้งหมด 206 ปัจจัยเทคนิคทำเว็บติดอันดับ Google ลองอ่านกันได้เลย:

สรุปหัวใจหลักของการทำ SEO

คุณจะเห็นได้จากการอัพเดตอัลกอริทึมต่างๆว่าหัวใจหลักของการทำ SEO คือการทำเนื้อหาให้มีคุณภาพและเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริง ซึ่งการทำเนื้อหาให้มีคุณภาพนั้นมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:

1. เนื้อหาที่มีคุณค่าต่อผู้อ่าน

เนื้อหาที่ดีควรเกี่ยวข้องกับความต้องการของผู้ใช้และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ การวิจัยคำหลัก (Keyword Research) เป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ เพื่อหาแนวทางในการเขียนเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยคำหลักเหล่านี้ควรถูกนำมาใช้อย่างเหมาะสมในเนื้อหาเพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา

2. ความชัดเจนและเข้าใจง่าย

เนื้อหาควรเขียนอย่างชัดเจนและเข้าใจง่าย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว การใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและหลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคมากเกินไปจะช่วยให้เนื้อหาน่าสนใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

3. ความน่าเชื่อถือและถูกต้อง

การอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและการให้ข้อมูลที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหาและเว็บไซต์ของคุณ การนำเสนอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ในสาขานั้น ๆ จะช่วยให้เนื้อหามีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

4. ความสดใหม่และการอัปเดตเนื้อหา

การอัปเดตเนื้อหาเป็นประจำเพื่อให้ทันกับข้อมูลล่าสุดและเทรนด์ใหม่ ๆ เป็นสิ่งสำคัญ การมีเนื้อหาที่สดใหม่จะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่าเว็บไซต์ของคุณมีการดูแลและให้ข้อมูลที่ทันสมัย

5. การใช้สื่อที่หลากหลาย

การใช้รูปภาพ วิดีโอ อินโฟกราฟิก หรือสื่ออื่น ๆ ในเนื้อหาจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและทำให้เนื้อหามีความหลากหลาย นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจข้อมูลได้ง่ายขึ้นและเพิ่มเวลาการอยู่ในหน้าเว็บไซต์

6. การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)

เนื้อหาควรจะถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและมีการนำทางที่ชัดเจน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่าย การออกแบบหน้าเว็บที่ใช้งานง่ายและโหลดเร็วจะช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้และลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate)

7. การสร้างลิงก์ภายในและภายนอก (Internal and External Linking)

การสร้างลิงก์ภายในจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น ส่วนการสร้างลิงก์ภายนอกไปยังแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเนื้อหาและเว็บไซต์

การทำเนื้อหาให้มีคุณภาพและเกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งานจริงเป็นหัวใจหลักของการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ การมุ่งเน้นที่คุณภาพและความต้องการของผู้ใช้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา และสร้างความเชื่อถือให้กับผู้ใช้งานในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับสูงในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา

SEO มีความสำคัญเพราะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์โดยเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์จะปรากฏในผลการค้นหาสูง ทำให้มีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายหรือการรับรู้แบรนด์

SEO มีความสำคัญเพราะช่วยเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์โดยเพิ่มโอกาสที่เว็บไซต์จะปรากฏในผลการค้นหาสูง ทำให้มีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายหรือการรับรู้แบรนด์

การทำ SEO เริ่มด้วยการวิเคราะห์และปรับปรุงหลายๆ ด้านของเว็บไซต์ เช่น การใช้คำสำคัญ (keywords), การสร้างเนื้อหาคุณภาพ, การสร้างลิงก์เชื่อมโยง (backlinks), และการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์

SEO เป็นกระบวนการที่ใช้เวลา ผลลัพธ์ของการทำ SEO อาจใช้เวลาหลายเดือน (อย่างน้อย 3 เดือน) ถึงจะเห็นผล เนื่องจากการปรับปรุงเว็บไซต์และการสร้างลิงก์ต้องใช้เวลาในการที่ Google จะ index และนำข้อมูลนั้นไปจัดอันดับเว็บของคุณ

อ้างอิงจาก

https://backlinko.com/hub/seo/what-is-seo

https://neilpatel.com/what-is-seo

ติดต่อรับทำ SEO กับ OneGo

เพิ่มอันดับเว็บไซต์ของคุณด้วยบริการรับทำ SEO คุณภาพและ SEO สายเทา จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ OneGo